รองโฆษก พปชร. ชี้ยุค New Normal ประชาชนตัดสินเองได้ ตอก “ปิยบุตร” หยุดเพ้อย้อนยุคการเมืองปลุกระดมการเปลี่ยนแปลง ย้อนถาม “ธนาธร”กลืนน้ำลาย วิจารณ์รัฐแจกเงินสุดท้ายทำเอง วอนพ่อฟ้าลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนเดือดร้อน ชาวบ้านถามหาเคยลงคะแนนให้ไม่เจอหน้าเลย เมื่อวันที่ 3 พ.ค. น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ อดีตผู้สมัครส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี กล่าวถึงกรณีนายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า ออกมาปลุกให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาลว่า นายปิยบุตรยังคงเป็นนักฉกฉวยโอกาสในวิกฤติ ด้วยการแสดงความเห็นในลักษณะของการสร้างเงื่อนไขให้เกิดความขัดแย้งเพราะทนไม่ได้ที่เห็นผลงานในการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลเป็นที่พึงพอใจของประชาชนและเป็นที่ชื่นชมของต่างชาติ รวมถึงเป็นประเทศที่มีมาตรการด้านสุขภาพที่ดีที่ทำให้นายปิยบุตรสามารถอยู่แล้วปลอดภัย ไม่ติดเชื้อ นายปิยบุตรเองก็ทราบดีว่ามาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดต่างๆ แม้แต่ในประเทศโลกประชาธิปไตยอย่างฝรั่งเศสที่นายปิยบุตรมักพร่ำพูดถึงตลอดเวลานั้นก็ยังประกาศล็อกดาวน์ประเทศ ประชาชนยังจำเป็นต้องเสียสละเสรีภาพ และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับที่รุนแรง ในขณะที่ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโควิด-19 สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก หากนายปิยบุตรมีจิตสำนึกเพื่อประเทศชาติและส่วนรวมสักนิด จะไม่นำความคับแค้นทางการเมืองส่วนตัว มาหาช่องเพื่อชี้นำประชาชน นำสุขภาพของประชาชนมาเสี่ยงเพื่อให้กลุ่มของตัวเองได้ประโยชน์ เพื่อเป็นเครื่องมือในการช่วงชิงอำนาจในเวลาที่หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ “นายปิยบุตรนั่งวิพากษ์วิจารณ์อยู่บนหอคอย ไม่ได้ลงไปสัมผัสกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ไม่ได้ไปรับฟังปัญหาที่แท้จริงของประชานเหมือนกับที่ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ ลงไปดูแลใกล้ชิดในพื้นที่ เปิดแอร์ อยู่บ้าน ใช้เน็ตอ่านแต่ความเห็นทางโซเชียลมีเดียของกลุ่มสนับสนุนของตนเอง จึงมโนเอาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เพื่อให้เข้าเงื่อนไขของตนเองเพราะยังไม่หยุดเพ้อเจ้อถึงแนวทางการปฏิวัติฝรั่งเศส”น.ส.ทิพานัน กล่าว น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า นายปิยบุตรควรตื่นเสียที ว่าโลกยุคโควิด-19 มันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว การเมืองก็ควรจะมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย เป็น New Normal การเมืองวิถีใหม่ ที่สร้างสรรค์ ในการช่วยกันฝ่าฟันวิกฤติ ไม่แบ่งฝัก แบ่งฝ่าย ไม่จ้องทำลาย หากนายปิยบุตรมัวแต่อยู่ในห้องแอร์ กลัวการติดเชื้อโรคจึงไม่ออกไปพบปะ รับฟัง ให้ความช่วยเหลือประชาชนในชุมชน ก็ควรอยู่บ้านเพื่อลดการแพร่เชื้อโรคและควรใช้เวลาหมั่นดูแลสุขภาพกายและสุขภาพใจของตนเองและผู้ใกล้ชิดให้ปลอดภัย และหมั่นทำกิจกรรมเพื่อบำรุงสมองและความจำของตนเองและนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทำที่เป็นการกลืนน้ำลายตัวเอง ทำทุกอย่างที่เคยวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ยังกล่าวถึงกรณีคณะก้าวหน้าโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำจัดคอนเสิร์ตระดมทุนเพื่อนำเงินมาบริจาคให้กับประชาชนรายละ 3,000 บาทว่า เรื่องนี้ทำให้สังคมมองเห็นว่าสิ่งที่นายธนาธรทำนั้นมักเป็นสิ่งที่เคยวิจารณ์ผู้อื่นว่าทำไม่ดีมาก่อน แต่สุดท้ายนายธนาธรกลับลอกเลียนวิธีการและทำแบบนั้นเสียเองและนายธนาธรยังเอาหน้าโดยไม่ลงทุนเพราะแจกเงินเฉพาะที่ตนเองได้รับบริจาคมาเท่านั้น ไม่ปรากฏยอดบริจาคจากนายธนาธรแม้แต่เพียงบาทเดียว นายธนาธรกำลังกลืนน้ำลายตัวเอง จำสิ่งที่ตนเองวิจารณ์ไม่ได้เลย ทำทุกอย่างตามที่เคยได้วิจารณ์ผู้อื่นไว้ “นายธนาธร วิจารณ์รัฐบาลที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความสามารถทางการเงินบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นว่าเป็นรัฐบาลขอทาน แต่สุดท้ายนายธนาธรก็ทำการเรี่ยไรเงินเสียเอง นายธนาธร เคยวิจารณ์ว่ารัฐบาลแจกเงินเพื่อเยียวยาความทุกข์ร้อนเป็นสิ่งไม่ดี ไม่ใช่การแก้ปัญหาแต่สุดท้ายนายธนาธรก็แจกเงินเสียเองเพื่อเพิ่มยอดผู้ชมคอนเสิร์ตที่มีเพียงประมาณห้าพันคนในวันแรก นายธนาธรวิจารณ์ว่าการลงทะเบียนรับสิทธิ์ของรัฐบาลเป็นการกีดกั้นผู้ที่ไม่เข้าถึงอินเตอร์เน็ต แต่สุดท้ายนายธนาธร กลับกีดกั้นและสร้างความเหลื่อมล้ำเสียเอง แจกเงินเฉพาะผู้ที่เข้าถึงเฟซบุ๊กเพจคณะก้าวหน้า นายธนาธรวิจารณ์ว่ารัฐบาลช่วยเหลือประชาชนไม่ทั่วถึง แต่สุดท้ายนายธนาธร ก็แจกเงินไม่ทั่วถึงเช่นกันเพราะวันแรกแจกเพียง 351 คนและเมื่อวานนี้ (2 พ.ค.63) ก็มีคนหลักล้านคนที่ไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือจากนายธนาธร นอกจากนี้ระบบคัดกรองผู้ได้รับการช่วยเหลือจากนายธนาธรก็อาจไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีความเท่าเทียม ผู้ที่เดือดร้อนจริงๆ กลับไม่ได้รับความช่วยเหลือ จะได้เฉพาะผู้ที่มีความว่องไว ลงทะเบียนก่อน เข้าถึงอินเตอร์เน็ต และติดตามเฟซบุ๊ก กีดกันโอกาสผู้สูงอายุ คนรากหญ้า คนทำงานที่ไม่สามารถเข้าถึงเฟซบุ๊กในเวลานั้นเพราะต้องทำงาน ไม่มีมือถือสมาร์ทโฟน ไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้”รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าว