ธปท.เผยเศรษฐกิจเดือนมี.ค.63 หดตัวหนัก หลังเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญหลายตัวดับ โดยเฉพาะโควิด-19 ขณะที่จีดีพีไตรมาส 1 คาดติดลบ และจะติดลบสูงขึ้นไตรมาส 2 จับตาแผนกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐต้องตรงจุดและเร็วฟื้นธุรกิจ นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยเดือนมี.ค.63 หดตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก.พ.63 จากการที่เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหดตัวเกือบทุกตัว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวเดือนมี.ค.63 ติดลบ 76.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนจากการใช้มาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศในหลายประเทศรวมถึงไทย เพื่อควบคุมการระบาดของโรค COVID-19 ขณะที่การส่งออกติดลบ 2.2% แต่หากไม่รวมส่งออกทองคำจะติดลบสูงถึง 6.5% ส่วนการบริโภคภาคเอกชนหดตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนตามการใช้จ่ายเกือบทุกหมวด ยกเว้นหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นและการใช้ไฟฟ้าที่ขยายตัวได้ ทั้งนี้การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่หดตัวสูงขึ้น สอดคล้องกับอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่อ่อนแอลง เช่นเดียวกับการลงทุนภาคเอกชนที่ติดลบสูงถึง 0.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้การนำเข้าสินค้ากลับมาขยายตัว 4.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน หลังจากหดตัวสูงในเดือนก่อนหน้า หากไม่รวมการนำเข้าทองคำ มูลค่าการนำเข้าขยายตัว 1.3% ตามการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง โดยเฉพาะการนำเข้าจากจีน จากการผ่อนคลายมาตรการการปิดเมือง เช่นเดียวกับการใช้จ่ายของภาครัฐที่กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 เดือน ตามการทยอยเบิกจ่ายภายหลังการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 เป็นหลัก โดยเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยปรับไปในทิศทางที่แย่ลง โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2560 ตามการปรับลดลงของราคาน้ำมัน ขณะที่เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1 คาดจะติดลบและติดลบสูงขึ้นในไตรมาส 2 โดยเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแบบตัว U หรือตัว V ขึ้นอยู่กับจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาได้เร็วแค่ไหน “แม้หลายประเทศสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น และเริ่มทยอยปลดล็อคการล็อกดาวน์ ไม่ได้แปลว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะกลับมาเร็ว และยังเป็นปัจจัยที่กดดันให้ค่าเงินบาทมีทิศทางอ่อนค่า แม้ขณะนี้จะกลับมาแข็งค่าแล้วก็ตาม อีกทั้งหลายฝ่ายยังกังวลเศรษฐกิจโลกอาจฟื้นตัวแบบตัว W หรือมีแนวโน้มที่ไวรัสโควิด-19 อาจกลับมาระบาดอีกครั้ง” ทั้งนี้ต้องติดตามการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการขนาดใหญ่ โดยในส่วนของซอฟท์โลนของแบงก์ชาติวงเงิน 500,000 ล้านบาท หากถูกนำไปใช้ทั้งหมดจะมีผลเกือบ 3% ของจีดีพี และในส่วนของรัฐบาล 1 ล้านล้านบาท หากเข้าสู่ระบบทั้งหมดและตรงกลุ่มเป้าหมายจะมีผล 6% ต่อจีดีพี ซึ่งถือเป็นความท้าทายของรัฐบาลที่จะต้องเบิกจ่ายเงินให้เร็วและตรงจุดที่สุด