ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.ดร. ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงมาตรการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการบังคับใช้กฎหมายในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายหลังจากที่  พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปอีก 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2563 จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 นั้น พล.ต.ท.ดร. ปิยะ กล่าวว่า พลเอก พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ผอ.ศปม.) และ   พลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เน้นย้ำว่าถือเป็นภารกิจสำคัญของฝ่ายความมั่นคงและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่จะต้องร่วมสนับสนุนการดำเนินการของรัฐบาล และ  ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 โดยได้กำหนดเป็น มาตรการสำคัญของฝ่ายความมั่นคง จำนวน ๓ เรื่องหลักๆ ประกอบด้วย 1.​ สายตรวจร่วม ทั้งนี้ฝ่ายความมั่นคงจะปรับการปฏิบัติ โดยเปลี่ยนจากการ ตั้งรับ เป็น รุกเข้าสู่ปัญหา โดยตำรวจจะร่วมกับ กรุงเทพมหานคร จังหวัด ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ทหาร สาธารณสุข และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง จัดให้มีชุดปฏิบัติการร่วมในลักษณะ ชุดเคลื่อนที่เร็ว หรือ ชุดปฏิบัติการควบคุมโรคติดต่อ ตามคำสั่งและประกาศที่เกี่ยวข้อง เพื่อเข้าไปดำเนินการในกรณีต่างๆ ใน 4 แนวทาง คือ 1) การสุ่มตรวจสอบการกักกันแบบ Home Quarantine  2) การเข้าตรวจสถานที่ ร้านค้า สถานประกอบการ ที่ได้รับการผ่อนคลายการบังคับใช้ใน   บางมาตรการ ว่าสามารถปฏิบัติได้ถูกต้องตามสุขลักษณะ ตลอดจนคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อ หรือศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด -19) หรือไม่  3) การเข้าไปตรวจสอบและจับกุมการมั่วสุมรวมตัวกันที่อาจก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโรคทั้งในช่วงกลางวัน และช่วงเวลาเคอร์ฟิว อาทิ โรงแรม หอพัก ฯลฯ  4) การร่วมปฏิบัติหน้าที่ ณ​ จุดตรวจเคอร์ฟิว ในเวลา 22.00 น. ถึง 04.00 น.​ ของวันรุ่งขึ้น  2. เข้มงวดการหลบหนีเข้าประเทศ โดยสั่งการให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และตำรวจภูธรจังหวัดทุกจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เพิ่มความเข้มข้นของมาตรการตรวจสอบผู้ลักลอบเดินทางเข้าประเทศผ่านทางช่องทางธรรมชาติ เพื่อลดจำนวน ผู้เดินทางที่ไม่ผ่านการคัดกรอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานต่างด้าว รวมถึงการให้การสนับสนุนมาตรการ State Quarantine และ Local Quarantine ของรัฐบาลในทุกจังหวัด 3. บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง จากสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ส่งผลต่อแนวโน้มของการเกิดอาชญากรรม จึงได้กำชับไปยังทุกหน่วยให้เข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาชญากรรมที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน เช่น ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง การกู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด การทวงหนี้โดยผิดกฎหมาย บ่อนการพนันและยาเสพติด รวมไปถึงอาชญากรรมที่เป็นการซ้ำเติมประชาชนที่กำลังเดือดร้อนในปัจจุบัน เช่น ความผิดเกี่ยวกับการจำหน่ายหน้ากากอนามัยและเวชภัณฑ์เกินราคา การเผยแพร่หรือส่งต่อข่าวปลอมในลักษณะ Fake News การฝ่าฝืนประกาศข้อกำหนดของคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อฯ​ หรือการฝ่าฝืนข้อกำหนดห้ามออกนอกเคหสถานในห้วงเวลาที่กำหนด หรือ เคอร์ฟิว เป็นต้น พล.ต.ท.ดร. ปิยะ กล่าวกล่าวฝากถึงพี่น้องประชาชนทุกท่านได้โปรดเข้าใจและให้ความร่วมมือ ในการปฏิบัติตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการณ์ในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศไทยสามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อโรคได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง จะยังคงคุมเข้ม และเข้มงวดมาตรการต่างๆ ทั้งในด้านสาธารณสุข การเดินทาง และอาชญากรรม เพื่อไม่ให้สถานการณ์กลับมารุนแรงขึ้นใหม่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอให้คำมั่นว่า เราจะดูแลประชาชนให้ดีที่สุด