เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 เม.ย.63 ที่ศูนย์คนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน ร่วมใจฝ่าวิกฤตโควิด-19 ตั้งอยู่ในสำนักงานพรรคชาติพัฒนา (ชพน.) อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานที่ปรึกษา ชพน. ให้สัมภาษณ์ภายหลังเสร็จภารกิจการเปิดโครงการ “ครัวหลวงพ่อ” พร้อมร่วมปรุงอาหารกล่องและแจกจ่ายให้กับประชาชน ว่า สืบเนื่องจากปัญหาจากภัยโควิด-19 รัฐบาลได้ขอความร่วมมือให้ประชาชนสวมหน้ากากผ้า ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์รวมทั้งกำหนดมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ทุกภาคส่วนในจังหวัดนครราชสีมา ได้ร่วมจัดตั้งศูนย์คนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน ซึ่งได้ดำเนินการมาร่วม 1 เดือน ระยะต้นได้ผลิตหน้ากากผ้าและเจลแอลกอฮอล์วันละ 3,000 ชุด รวมทั้งตระเวนฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคได้วันละ 10,000 ตารางเมตร ซึ่งมีการร้องขอเข้ามามาก เราได้เพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอกับความต้องการ นอกจากนี้รัฐบาลได้ออกมาตรการให้เงินเยียวยาให้กับผู้ประสบภัย ศูนย์คนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกันได้ช่วยเหลือสังคมในเรื่องอาหาร ซึ่งมีกลุ่มแม่บ้านวัดบ้านไร่ ลูกศิษย์ของหลวงพ่อคูณ ปริสุทธโธ อดีตเกจิอาจารย์ชื่อดัง ปกติจะมีนักท่องเที่ยวแวะไปนมัสการ ต่อมามีปัญหาจากโควิด-19 ทำให้ว่างงานและได้มาร่วมตัวมาช่วยทำอาหาร จึงเป็นที่มาของ “ครัวหลวงพ่อ” ในแต่ละวันได้จัดทำเมนูของดีประจำท้องถิ่น ซึ่งมีผัดหมี่โคราช ผัดกระเพราไก่ไข่ดาว ข้าวหมูยอ กุนเชียง ผัดพริก ออกแจกจ่ายเวลา 11.00-14.00 น. วันละ 1,000 ชุด โดยจะเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เพียงพอกับความต้องการ การมารับของได้มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้มากำหนดมาตรการ จัดระเบียบให้ถูกต้องเป็นไปตามาตรฐาน ซึ่งเป็นน้ำใจของทุกภาคส่วนที่ร่วมมือร่วมใจปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัดทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงเรื่อยๆ จนเหลือเพียงเลขหลักเดียว เพราะความร่วมมือร่วมใจและความมีน้ำใจของคนไทย ศูนย์คนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน ขอเป็นสื่อกลางในการตอบสนองการสร้างน้ำใจในกลุ่มคนไทยให้ผ่านพ้นวิกฤตต่างๆไปพร้อมกัน นายสุวัจน์ กล่าว ขณะนี้รัฐบาลได้มีความพยายามช่วยเหลือพี่น้อง ประชาชนให้ได้มากที่สุดและครอบคลุม แต่จำนวนประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนมากถึง 20 ล้านคน ระบบการดำเนินการต่างๆอาจเกิดความขัดข้องในบางประการเป็นสิ่งที่หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องต้องรีบดำเนินการแก้ไข เพื่อให้ประชาชนได้รับการช่วยเหลือได้เร็วขึ้นกว่าเดิม ขณะนี้เราประสบปัญหาวิกฤต 2 เรื่อง ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลกทุกประเทศได้รับผลกระทบ ทั้งด้านสาธารณสุข โรคระบาดและเศรษฐกิจ ซึ่งมีการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจปีหน้า เศรษฐกิจโลกจะติดลบกันหมดเป็นครั้งแรกที่โลกกลับมาสู่ยุคเศรษฐกิจถดถอยเหมือนหลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ฉะนั้นคนไทยต้องสู้กับวิกฤตนี้ให้ได้ ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามแสวงหาแนวทางโดยเปิดรับข้อคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆ เช่น พรรคฝ่ายค้าน นักวิชาการรวมทั้งนักธุรกิจต่างๆ อย่างครอบคลุมทุกกลุ่ม จะช่วยให้รัฐบาลสามารถรวบรวมข้อคิดเห็นต่างๆ ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งได้ทำงานคู่ขนานทั้งแก้ไขปัญหาวิกฤตโควิดและวิกฤตเศรษฐกิจไปพร้อมๆกัน ต่อข้อถามถึงการคลายล็อคเคอร์ฟิว นายสุวัจน์ ตอบขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 หลายประเทศกำลังล็อคดาวน์กันอยู่ หากสถานการณ์ยืดเยื้อยาวนานเพียงใด ความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจก็จะมากตามไปด้วย หากคลี่คลายจะเริ่มมีการปลดล็อคในลักษณะคู่ขนาน เพื่อลดผลกระทบด้านเศรษฐกิจให้น้อยที่สุด ขณะนี้ประเทศไทยได้พูดถึงการปลดล็อค ตนเชื่อตามตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อที่ลดลงเรื่อยๆ ถือเป็นดัชนีชี้ให้เห็นความร่วมมือของคนไทยเสียสละเวลาและโอกาสทางธุรกิจ เพื่อตอบสนองมาตรการของรัฐบาล จะนำไปสู่ความสำเร็จ ทำให้ประเทศไทย เป็นประเทศลำดับต้นๆ สามารถลดผลกระทบจากการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด -19 เมื่อดัชนีไปยังเป้าหมายที่น่าพอใจ การคลายล็อคถือเป็นบรรยากาศที่เหมาะสม เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น สามารถควบคุมได้ระดับหนึ่งแล้ว เมื่อคลายล็อคจะช่วยลดแรงกดดันด้านเศรษฐกิจ สังคม แต่เราจะคลายล็อคกันแบบไหน ที่ไม่ให้ปัญหาโรคไวรัสโควิด -19 กลับมาปะทุอีก จึงต้องมีความชัดเจนและระบุรายละเอียดมาตรการที่เจ้าของธุรกิจดำเนินการควบคู่กันไปหรือมีมาตรการให้ผู้บริโภคปฏิบัติตาม การคลายล็อคทำได้แต่ต้องมีเงื่อนไขประกอบเพื่อมิให้เชื้อกลับมาแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น ฉะนั้นการบริหารจัดการต้องเป็นในลักษณะควบคู่กันไป ตนเห็นด้วยที่จะต้องมีการคลายล็อค เพราะเป็นการส่งสัญญาณที่ดี อย่างน้อยให้กำลังใจกับประชาชน ที่ผ่านมาได้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลจนประสบความสำเร็จในการควบคุมโรคได้ดีในระดับหนึ่ง ส่งสัญญาณสถานการณ์ดีขึ้นแล้วต่อจากนี้ไปจะเริ่มฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะเศรษฐกิจจะเริ่มกลับมา แต่ต้องมีการวางมาตรการควบคู่กันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลกำลังวางแผนและตัดสินใจพร้อมกับคำแนะนำของทีมแพทย์ ฝากถึงประชาชนที่หมดกำลังใจ อาจคิดสั้นฆ่าตัวตาย สิ่งสำคัญคือครอบครัว เพื่อนฝูงต้องใกล้ชิดกันมากขึ้น เป็นเรื่องปกติการเกิดความกดดันจากสภาพเศรษฐกิจและไม่สามารถปฏิบัติตัวตามวิถีชีวิตเดิมได้ ดังนั้นความใกล้ชิดการเป็นกำลังใจให้กันและกันในครอบครัว รวมทั้งน้ำใจของคนไทยด้วยด้วยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหาอุปสรรคทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี นายสุวัจน์ กล่าว