“สามารถ” พาผู้ต้องหาคดีร่วมปล้นทรัพย์ “พ.ต.ท.”สังกัด กก.สส.บก.น.5 เข้าพบตำรวจพื้นที่เกิดเหตุ พร้อมชู พ.ร.บ.ไกล่เกลี่ย หลังพบข้อเท็จจริงไม่ตรงกัน แต่ทางด้าน ผกก.สน.โชคชัย แย้งคดีปล้นเป็นคดีอาญาไกล่เกลี่ยไม่ได้ เมื่อเวลา 14.00 น.วันที่ 28 เม.ย.63 ที่สน.โชคชัย นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายกษิดิ์เดช ชุติมันต์ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ พานายเฉลิมวงศ์ ทาปลัด ซึ่งเป็น 1 ในผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 488/2563 ในข้อหาปล้นทรัพย์และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหาย ซึ่งเป็นนายตำรวจยศ “พ.ต.ท.” สังกัด กก.สส.บก.น.5 ได้เข้าพบ พ.ต.อ.พรทวี สมวงค์ ผกก.สน.โชคชัย หลังคดีดังกล่าวมีข้อเท็จจริงจากคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย ออกมาไม่ตรงกันและเกรงว่าจะเป็นการแจ้งข้อหาเกินกว่าเหตุหรือไม่ นายเฉลิมวงศ์ กล่าวเปิดเผยว่า วันเกิดเหตุตนขับรถกระบะกับลูกน้องออกจากซอยลาดพร้าว 87 ไปตามถนนเลียบด่วนรามอินทรา ก็พบชายทราบภายหลังว่าเป็นตำรวจขับรถจยย.อยู่เลนขวาสุด แต่ด้วยความที่ถนนเส้นนี้รถวิ่งเร็ว ตนจึงบีบแตรใส่และเปิดกระจกถามไปว่าทำไมไม่ชิดซ้าย ตำรวจจึงบอกให้จอดรถริมถนนเพื่อพูดคุยกัน เมื่อจอดรถคุยกันเสร็จปรากฎว่าตำรวจมาดึงกุญแจรถของตนไป ตนกับลูกน้องจึงเกิดการยื้อแย่งกัน ระหว่างนั้นได้ผลักตำรวจล้มลง เมื่อแย่งกุญแจรถคืนมาได้แล้ว ขณะนั้นตนหยิบโทรศัพท์ติดมือมาด้วยแต่ก็คืนให้ไป ก่อนจะบอกให้ลูกน้องขึ้นรถกลับบ้าน เพราะใกล้เวลาเคอร์ฟิว แต่นายเสถียร ไม่ยอมกลับ ตนจึงปล่อยให้กลับเอง และขอยืนยันว่าไม่ตั้งใจจะขโมยโทรศัพท์หรือทรัพย์สินใดไป ทั้งนี้ตนอยากฝากขอโทษตำรวจนายดังกล่าว เนื่องจากวันเกิดเหตุตนไม่ทราบว่าคู่กรณีเป็นตำรวจ และอาจใช้ถ้อยคำไม่สุภาพ จนกระทั่งมาทราบข่าวว่านายเสถียร ถูกจับกุมในคืนนั้นจึงมาทราบว่าคู่กรณีนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้านนายสามารถ กล่าวว่า หลังเกิดเรื่องนายเฉลิมวงศ์ ได้เข้ามาร้องเรียนกับตน แต่หลังจากฟังเรื่องราวทั้ง 2 ฝ่าย แล้วพบว่ามีข้อมูลไม่ตรงกันหลายอย่าง ตนในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม เห็นว่านี่เป็นเรื่องระหว่างประชาชนคนธรรมดากับเจ้าหน้าที่รัฐต้องให้ความยุติธรรม ซึ่งตามกฎหมายนายเฉลิมวงศ์ ถูกพนักงานสอบสวนตั้งข้อหาหรือถูกกล่าวหา ก็ต้องหาพยานหลักฐานมาต่อสู้ในชั้นศาลอยู่แล้ว แต่ตนแนะว่าให้ใช้ พ.ร.บ.ไกล่เกลี่ย เมื่อพูดคุยให้ข้อมูลที่ตรงกันอาจยอมความบางข้อหาได้และเป็นการช่วยลดขั้นตอนทางกฎหมายได้ ทางด้าน พ.ต.อ.พรทวี กล่าวว่า เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 เม.ย.63 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โชคชัย ได้รับแจ้งมีเหตุประทุษร้ายต่อทรัพย์ โดยมี พ.ต.ท. นายดังกล่าวเป็นผู้เสียหาย และให้การว่า ก่อนเกิดเหตุตนขับรถจยย.จะกลับที่พัก เมื่อมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุ กลุ่มผู้ต้องหาขับรถกระบะมาจี้ท้ายอย่างกระชั้นชิดพร้อมบีบแตรเสียงดัง ตนจึงหยุดรถบริเวณปากซอยที่เกิดเหตุ ทันใดนั้นกลุ่มผู้ต้องหาได้มารุมล้อม แล้วใช้มือผลักอกจนล้มลง ก่อนใช้เท้าเหยียบให้นอนกับพื้นพร้อมกับถามซ้ำๆ ว่าจะไปไหน เมาสุราหรือไม่ ขณะนั้น 1 ในคนร้ายได้มาแย่งโทรศัพท์มือถือแล้วเดินห่างออกไปประมาณ 10 เมตร จากนั้นกลุ่มผู้ต้องหาได้พูดคุยกันว่า ตนน่าจะเป็นตำรวจจึงรีบขอโทษ เมื่อตนลุกขึ้นแล้วจึงแย่งโทรศัพท์มือถือคืน ส่วนทางกลุ่มผู้ต้องหาได้วิ่งหลบหนีขึ้นรถยนต์ขับหลบหนีไป แต่ตนสามารถจับกุมตัวไว้ได้ 1 คน คือนายเสถียร ศิลาแสง อายุ 45 ปี จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.โชคชัย ได้มายังที่เกิดเหตุและคุมตัวไปนายเสถียร ไปทำบันทึกจับกุมที่ สน.โชคชัย ในข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขัง พ.ต.อ.พรทวี กล่าวว่า จากการสอบสวนพบว่าการกระทำของผู้ต้องหาเข้าองค์ประกอบฐานปล้นทรัพย์ พนักงานสอบสวนจึงแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมฐานปล้นทรัพย์ ต่อมาเมื่อวันที่ 8 เม.ย.63 ศาลอาญาได้พิจารณาออกหมายจับนายเฉลิมวงศ์ หรือไก่ ทาปลัด ในข้อหาปล้นทรัพย์และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ตามหมายจับที่ 488/2563 ลงวันที่ 8 เม.ย.63 จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหมายจับเข้าจับกุมและนำส่งพนักงานสอบสวน สน.โชคชัย ดำเนินคดี และนายเฉลิมวงศ์ ได้รับการประกันตัวออกไป พ.ต.อ.พรทวี กล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้ได้ปรึกษาหารือกับนายสามารถ โดยตั้งคณะพนักงานสอบสวน จำนวน 3 นาย เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างรอบคอบ และยืนยันจะให้ความเป็นธรรมอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ตามหลักกฎหมายแล้วการปล้นคือการร่วมกัน 3 คนขึ้นไป เอาทรัพย์สินผู้อื่นโดยใช้กำลังขู่เข็ญแม้ว่าจะได้ทรัพย์ไปจากเจ้าของแล้วหรือไม่ ก็ถือว่าความผิดสำเร็จ ซึ่งมีฎีการะบุไว้แล้วชัดเจน แต่กรณีนี้มีการให้การไม่ตรงกัน จึงต้องตรวจสอบหลักฐานอีกครั้ง เพราะเป็นคดีอาญายอมความไม่ได้ แต่อาจมีบางข้อหาที่พิจารณาใหม่ได้ตาม พ.ร.บ.ไกล่เกลี่ย แต่อย่างไรก็ตามที่จุดเกิดเหตุมีกล้องวงจรปิด 1 ตัว แต่อยู่ห่างไกลจึงต้องตรวจสอบกล้องในเส้นทางเดียวกันว่า ก่อนเกิดเหตุมีเหตุการณ์เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย