ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.สันติธาร เสถียรไทย นักเศรษฐศาสตร์ภาคเทคโนโลยีแห่งเอเชีย โพสต์ขอความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...
เตรียมรับ The New Abnormal ก่อนเจอ New Normal โลกต่อไปอาจมี3เฟส - ภาวะไม่ปกติ ภาวะไม่ปกติแบบใหม่ และภาวะปกติใหม่ (The Abnormal, the New Abnormal and the New Normal) 1.ปัจจุบัน-ภาวะไม่ปกติ เรากำลังเผชิญภาวะไม่ปกติ เศรษฐกิจกำลังเข้าสู่วิกฤติแบบที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนที่มี ศูนย์กลางอยู่ที่มนุษย์ (Human-centered crisis) ที่โจทย์ของสาธารณสุขและเศรษฐกิจผูกกันอย่างแน่นแฟ้น โจทย์ที่ต้องแก้นั้นยากแต่อย่างน้อยความเห็นส่วนใหญ่ยังไปทางเดียวกันว่า “ต้องรีบหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสให้ได้ก่อน แล้วด้านเศรษฐกิจก็อัดมาตราการเยียวยาช่วยเหลือให้เต็มที่” เพราะนั่นยังอยู่บนความหวังที่ว่าหากกิน”ยาขม”หยุดเชื้อสำเร็จ เราก็จะสามารถเปิดเครื่องยนต์เศรษฐกิจให้มาเดินเหมือน”ปกติ” แม้โลก”ปกติ”นั้นจะไม่เหมือนเดิมก่อนวิกฤติโควิด-19 ก็ตาม ตัวผมได้เขียนหลายบทความชวนคิดว่าเราควรทำอะไรบ้างในภาวะไม่ปกติขั้นวิกฤตินี้ (https://www.facebook.com/412611772841061/posts/704010913701144/?d=n) 2.อนาคตอันไกล-ปกติใหม่ นักวิเคราะห์หลายท่านเริ่มคิดถึงโจทย์”โลกหลังโควิด” (เมื่อเราเอาไวรัสอยู่แล้ว) ว่าหน้าตามันจะเป็นอย่างไร เช่น การที่เอเชียอาจจะมีบทบาทสำคัญในโลกมากขึ้นและความมั่นคงด้านสาธารณสุขและอาหารจะกลายเป็นประเด็นสำคัญของโลก (เช่น บทความใหม่ของคุณพ่อผม https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2145364) หรือ การที่โลกเราอาจก้าวเข้าสู่ความเป็นดิจิทัลมากขึ้น(เช่นบทความ https://www.the101.world/economics-opportunity-in-covid19-…/) ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญมากเพราะ หนึ่ง ผู้บริหารทุกคนต้องมองว่าการปรับตัวบางอย่างวันนี้อาจมีประโยชน์ไม่ใช่แค่ในภาวะวิกฤติแต่ในระยะยาวด้วย สอง เราต้องตระหนักว่าโลกหลังโควิดจะไม่เหมือนเดิมอีก เพราะฉะนั้นอย่ายึดติดอยู่กับอดีตและสิ่งที่เคยเป็นจนเกินไป 3.อนาคตอันใกล้ - ภาวะผิดปกติใหม่ แต่ก่อนจะไปถึง”ภาวะปกติใหม่”เราจะต้องเผชิญกับ”ภาวะผิดปกติใหม่”ซึ่งอาจจะอยู่เป็นปี มันจะไม่เหมือนกับความผิดปกติแบบในปัจจุบัน แต่ก็ยังไม่ใช่”ภาวะปกติ”แบบในวันที่ปัญหาไวรัสผ่านไปแล้ว ลักษณะของภาวะผิดปกติใหม่คือ คนเริ่มกลัวปัญหาปากท้องไม่แพ้ไวรัส คนกลัวอดตายไม่แพ้ติดโรค จากที่คนเคยกลัวปัญหาไวรัสที่สุดและให้ปัญหาสาธารณสุขเป็นประเด็นอันดับหนึ่ง ทางสองแพร่งระหว่างประเด็นเศรษฐกิจและสาธารณสุขเริ่มชัดเจนขึ้น อาจเพราะเราเริ่มเห็นว่าแม้การปิดเมืองและทำระยะห่างทางสังคมจะช่วยชะลอการระบาดอย่างมาก มนุษย์อาจจะยังไม่สามารถชนะไวรัส 100% จนกว่าจะมีวัคซีนหรือคนมีภูมิคุ้มกัน จีนที่ “ชนะ” ไวรัสไปแล้วเริ่มกลับมามีติดเชื้อใหม่ สิงคโปร์ที่เป็นประเทศตัวอย่างกลับปิดเมืองบางส่วนเพราะเชื้อระบาดหนักใหม่ภายในเวลาไม่นาน แปลว่าถนนข้างหน้าไม่ใช่”วันเวย์” แต่มี “2เลน” วันนี้เราเปิดเมืองได้บางส่วน พรุ่งนี้อาจเปิดได้มากขึ้น มะรืนอาจต้องกลับมาปิดใหม่ กลับไปกลับมาแล้วแต่สถานการณ์ ยุทธศาสตร์เปิด-ปิดเมือง โจทย์คือการปิดเมืองนานคนก็อดอยาก เปิดเมืองเร็วไปคนก็ติดเชื้อกระฉูด ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดในภาวะผิดปกติใหม่คือ “ยุทธศาสตร์การเปิด-ปิดเมือง”ที่ต้องคำนึงถึงทั้งประเด็นเศรษฐกิจและสาธารณสุขและต้องตอบให้ได้อย่างน้อย 3 คำถาม หนึ่ง เมื่อไรจะเปิดได้ ทั้งคณะนักวิชาการสาธารณสุขและอดีตผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และองค์กรอนามัยโลกได้ให้หลักเกณฑ์เพื่อดูว่าจังหวัด/พื้นที่ไหนพร้อมจะเปิดได้ สรุปคร่าวๆคือ แค่คุมการระบาดอยู่ยังไม่พอแต่ต้องมีระบบตรวจ แกะรอย และแยก (Test, Trace, Isolate)คนป่วยและคนที่เสี่ยงทุกคน สถานที่ต่างๆต้องมีมาตรการป้องกันระบาดชัดเจน (เช่น จำกัดจำนวนคน บังคับหน้ากาก)และคนในชุมชนมีความเข้าใจในการปฏิบัติตัว คือมี Covid literacy (เช่น ใส่หน้ากาก ล้างมือบ่อยๆ รักษาระยะห่างจากคนอื่น 2 เมตร ฯลฯ) สอง แต่ละจังหวัดจะเปิดอย่างไร จะเปิดให้ภาคอุตสาหกรรมไหนหรือใครก่อน? มีกี่เฟส? ข้อนี้ยังถกเถียงกันแต่มีไอเดียน่าสนใจหลายข้อที่น่าเอามาคิดต่อ เช่น ดร.สมชัย จิตสุชน เสนอให้มีการเปิดแบบค่อยเป็นค่อยไปตามลักษณะสถานที่และต้องคำนึงถึงต้นทุนทางเศรษฐกิจจากการปิดด้วย เช่น สถานที่ที่มีความแออัดสูงและเว้นระยะห่างได้ยากและอาจจะยังไม่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต เช่น สนามมวย สถานที่บันเทิงอาจเปิดทีหลัง https://tdri.or.th/2020/04/covid-19-how-to-lift-a-lockdown/ ศาสตราจารย์ ณัฐวุฒิ เผ่าทวี ชวนคิดเรื่องการเปิดให้ประชาชนบางกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงทางสุขภาพต่ำ(และไม่ได้อาศัยอยู่กับผู้ใหญ่)แต่ถูกกระทบทางเศรษฐกิจสูงออกมาทำงานได้ก่อนในบริบทของประเทศอังกฤษ https://thaipublica.org/…/04/19-economists-with-covid-19-09/ ดร. พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย เสนอให้แผนการปิดเปิดมีความยืดหยุ่น เปิดได้ก็ปิดใหม่ได้ซึ่งทำให้เกิดคำถามต่อไป https://thaipublica.org/2020/04/pipat-62/ สาม เปิดแล้วจะต้องปิดอีกเมื่อไร เราควรมีเกณฑ์ให้ชัดเจนว่าเมื่อไรที่อาจจะต้องกลับไปปิดเมืองใหม่จะได้สร้างแรงจูงใจให้ทุกพื้นที่พยายามปฏิบัติตามแนวทางการควบคุมการติดเชื้อ นอกจากนี้การมีกรอบเช่นนี้ยังจะช่วยลดความเสี่ยงที่รัฐบาลอาจจะลังเลไม่กล้าประกาศล็อคดาวน์ใหม่ทำให้ตัดไฟแต่ต้นลมไม่สำเร็จ เพราะประสบการณ์จากสิงคโปร์ล่าสุดชี้ให้เห็นว่าความคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยสามารถทำให้การระบาดติดเชื้อกลับมาได้อย่างรวดเร็วมาก แม้จะเริ่มมีแผนการเปิดเมืองออกมาแล้วโจทย์ยุทธศาสตร์การเปิด-ปิดเมืองเป็นเรื่องที่ยังต้องช่วยคิดกันอีกมากให้ตกผลึก คนละสภาวการณ์ คนละยุทธศาสตร์ สุดท้ายขอทิ้งท้ายว่าการตระหนักว่าเรากำลังจะเข้าสู่ภาวะ New Abnormal นั้นสำคัญสำหรับผู้บริหารทุกคนเพราะจุดโฟกัสของยุทธศาสตร์นั้นแตกต่าง ในระยะสั้นเรามักจะโฟกัสที่การเอาตัวรอด (Survival mode) ในระยะยาวเราเน้นการลงทุนพัฒนาปรับปรุงตัวเอง แต่ในระยะกลางแห่งความผิดปกติใหม่นั้น”สั้นเกินไป”ที่จะลงทุนเปลี่ยนแปลงระยะยาวและ”ยาวเกินไป”ที่จะใช้มาตราการเอาตัวรอดชั่วคราว ในภาวะนี้ความสามารถในการบริหารความเสี่ยง (Risk management) และความยืดหยุ่นจะเป็นหัวใจในการก้าวไปข้างหน้า