เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2563 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับข้อเรียกร้องให้มีการ “เปิดเมือง” โดยมีเนื้อหาดังนี้ "รัฐบาลต้องเตรียมแผนงานให้รัดกุมรอบคอบ เพื่อการ “REOPENING เปิดเมืองที่ปลอดภัย” คือให้ประชาชนสามารถกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ ก่อนที่สภาพเศรษฐกิจจะสาหัสมากไปกว่านี้ พร้อมกับมาตรการการควบคุมโรคที่มีประสิทธิภาพ ดิฉันจึงมีข้อเสนอ 5 ข้อ เพื่อการ “เปิดเมืองอย่างปลอดภัย” เพราะการ “ปิดเมือง” เราพลาดมาแล้ว การ “เปิดเมืองอย่างปลอดภัย” ยิ่งยากกว่า รัฐบาลจึงต้องรีบเตรียมการอย่างรอบคอบ ส่วนการที่สมช.เสนอต่อ พ.ร.บ. ฉุกเฉิน “ปิดเมือง” ดิฉันว่ารัฐบาลต้องฟังความเห็นจากทีมแพทย์ และสาธารณสุข มากกว่า สมช. เพราะขณะนี้ศัตรูต่อความมั่นคงของประเทศไทยคือ เชื้อโรคตัวเล็กๆ ที่มีแพทย์, พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเป็นผู้ปราบ ไม่ใช่ศัตรูที่หน่วยงานความมั่นคงจะปราบได้ ขณะนี้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อของไทยลดลงตามลำดับ เนื่องจากมาตรการปิดเมืองที่ยาวมากกว่า 1 เดือน บวกกับความสามารถของสาธารณสุขไทย แพทย์, พยาบาล, เจ้าหน้าที่สาธารณสุข, อสม. ที่ทุ่มเทเต็มที่ ปัญหาที่คนไทยและรัฐบาลจะต้องร่วมคิดต่อไปคือ เราจะสร้างสมดุลที่เหมาะสมระหว่างมาตรการการควบคุมการระบาดของโรค อย่างมาตรการปิดเมือง เคอร์ฟิว กับต้นทุนทางเศรษฐกิจที่เราต้องเสียไปมหาศาลนี้อย่างไร ทำอย่างไรที่คนไทยจะรอดทั้งการไม่ป่วยติดเชื้อ และรอดจากการอดตายเพราะพิษเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสภาพเศรษฐกิจไทย ก่อนหน้า COVID-19 ก็ไม่ได้ดีนัก ทุก Sector ทั้งส่งออก, เกษตร, SMEs ที่พอดูดีหน่อย คือท่องเที่ยว แต่พอเจอ COVID-19 ก็จบกันหมดจริงๆ ค่ะ พ.ร.ก. ฉุกเฉินจะครบในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ผู้คนส่วนใหญ่จึงคาดหวังว่า จะมีโอกาสกลับมาทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ แต่ สมช. กลับเตรียมเสนอต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก ซึ่งดิฉันเห็นด้วยกับบรรดาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน และข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขที่ว่า เราสามารถผ่อนคลายการ Lock Down ได้ ให้ผู้คนกลับมาทำมาหากิน ก่อนที่อาการป่วยทางเศรษฐกิจจะโคม่ามากกว่านี้ ซี่งขณะนี้ตัวเลขผู้ฆ่าตัวตายจากพิษเศรษฐกิจ ที่สกสว. ทำวิจัย เริ่มสูงกว่าผู้เสียชีวิตจาก COVID-19แล้ว แต่สิ่งที่รัฐบาลควรเร่งทำด่วนขณะนี้ คือ เริ่มวางแผนงาน และเตรียมมาตรการในการ Reopening “เปิดเมืองอย่างปลอดภัย” ได้แล้ว โดยควรเริ่มเปิดเป็นรายจังหวัด ยึดเกณฑ์ที่ WHO แนะนำทั้ง 6 ประการ ที่สำคัญ ขณะนี้เรามี 9 จังหวัดที่ไม่มีผู้ป่วยแม้แต่รายเดียว และอีก 41 จังหวัดที่ไม่มีผู้ป่วยใหม่มาแล้ว ครบ 14 วัน กลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มแรกที่ควรเริ่มเปิดให้คนกลับมาทำมาหากินภายในจังหวัดได้ แล้วค่อยขยับข้ามจังหวัด เมื่อมั่นใจว่าเราคุมการระบาดได้ “Reopening เปิดเมืองแบบปลอดภัย” รัฐบาลควรดำเนินการดังต่อไปนี้ 1. “Reopening แบบมีข้อบังคับด้านสาธารณสุข” ให้ธุรกิจที่สามารถจะเปิดให้บริการได้ เช่น ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด ร้านทำผม เป็นต้น ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ด้านสาธารณสุข ที่รัฐบาลกำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อคงความปลอดภัยให้ประชาชน เช่น ร้านอาหารต้องมีกฎเกณฑ์ด้านสุขอนามัยเพิ่มเติม มีการจัดที่นั่งให้มีระยะห่างอย่างน้อย 1.5-2 เมตร ตามหลักการ Social Distancing สำหรับผู้ประกอบอาหาร พนักงานเสิร์ฟต้องสวม Face Shield และหน้ากากอนามัย สวมถุงมือ มีการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้าร้าน เป็นต้น รวมทั้งแต่ละจังหวัดต้องมีมาตรการสร้างความปลอดภัย ปลอดเชื้อในที่สาธารณะ และขนส่งสาธารณะ ด้วยการทำความสะอาดฆ่าเชื้อสม่ำเสมอ 2. รัฐบาลต้องสนับสนุนให้ทุกจังหวัดที่จะเปิดเมืองให้มีความสามารถในการตรวจหาเชื้อผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือมีอาการได้ทุกคน และต้องมีศักยภาพในการนำตัวผู้ติดเชื้อมาแยกตัวเข้าระบบดูแล รวมทั้งต้องมีการ X-Ray ตรวจพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อระวังอย่างสูงสุด ไม่ให้มีการกลับมาระบาดใหม่ 3.รัฐบาลยังคงต้องเข้มงวดในการป้องกันผู้ติดเชื้อใหม่ไม่ให้เดินทางเข้าประเทศด้วยมาตรการ State Quarantine 14 วัน อย่างเคร่งครัดต่อเนื่องต่อไป 4. รัฐบาลยังต้องสนับสนุนงบประมาณให้โรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ให้มีเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเพียงพอ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือ หากมีการระบาดในรอบใหม่ 5. สำหรับประชาชนต้องปรับตัวให้เข้ากับ New Normal โดยให้ความร่วมมือในการสวมหน้ากาก, Social Distancing, รักษาสุขภาพอนามัย, หมั่นล้างมือ และในองค์กรที่มีความสามารถทำได้ รัฐบาลต้องสนับสนุนให้ Work From Home หรือการเรียน On-Line อีกสักระยะ การปิดเมืองไม่ง่าย แล้วเราก็พลาดมาแล้ว ที่ไม่มีมาตรการรองรับ ทำให้คนเรือนแสนแห่กลับต่างจังหวัด จนเชื้อกระจายไปทั่วประเทศ การเปิดเมือง หรือการ #Reopening ยิ่งยากกว่า และยิ่งต้องระมัดระวังมากกว่า จึงต้องอาศัยการวางแผนที่รอบคอบ และการเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ เราจึงจะประสพความสำเร็จ โดยโรคไม่กลับมาระบาดใหม่และเศรษฐกิจไม่ทรุดไปมากกว่านี้ และนั่นจึงจะเป็น #ชัยชนะของประเทศไทยอย่างแท้จริง"