“SCN “เตรียมพร้อมรับมือโควิด-19 ปรับลดค่าใช้จ่ายลดต้นทุนธุรกิจ ระบุธุรกิจพลังงานยังเติบโตดีแม้ธุรกิจก๊าซชะลอลง ส่วนธุรกิจยานยนต์มีรายได้จากสัญญารับเหมาซ่อมแซมและบำรุงรักษารถโดยสารปรับอากาศ NGV นายฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ SCN เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่(โควิด-19) ที่ทวีระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายภาคธุรกิจทั้งทางตรงและทางอ้อม บริษัทไม่ได้นิ่งนอนใจ เร่งเตรียมมาตรการเพื่อรับมือกับวิกฤติดังกล่าวอย่างเข้มข้น โดยบริษัทได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อลดต้นทุนในส่วนต่างๆลง คาดว่าในปีนี้บริษัทจะลดค่าใช้จ่ายในด้าน SG&A (ค่าใช้จ่ายในการขาย และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ)ได้เป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทนที่ได้ลงทุนไปในหลายปีที่ผ่านมา อย่างธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู ประเทศเมียนมา,โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บางภาษี และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ วี.โอ.เน็ต รวมถึงธุรกิจติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อปที่เริ่มดำเนินการเมื่อปีก่อน ยังคงเติบโตได้ตามแผนโดยไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 โดยธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับก๊าซธรรมชาติ บริษัทได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรม NGV ในประเทศไทยที่ภาครัฐมีการส่งเสริมการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง B20 บวกกันการบริโภคที่น้อยลงจากสถานการณ์ Covid ทำให้ปริมาณการใช้ก๊าซ NGV ลดน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ดีด้วยการกำหนดแนวทางการบริการจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดผลกระทบดังกล่าวและทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบูที่สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ที่ปัจจุบันได้เริ่มเฟส 1 จำนวน 50 เมกะวัตต์ (MW) อย่างเป็นทางการไปแล้วนั้น ทางบริษัทมองว่าจะมีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนมากขึ้นจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทได้มีการเข้าซื้อหุ้นเพิ่มเติม 10% ในช่วงปลายปี 2562 ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทฯถือหุ้นรวมในโครงการดังกล่าวเท่ากับ 40% อีกทั้งโครงการยังได้รับผลประโยชน์จากราคาค่าแผงโซลาเซลล์ที่มีการปรับตัวลดลง ทำให้ต้นทุนในการก่อสร้างลดลงประมาณ 15-20% จากปีก่อนหน้า รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงทำให้ต้นทุนโดยรวมลดลงตามไปด้วย ทั้งนี้ในส่วนของธุรกิจติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ (Solar Rooftop) ที่บริษัทฯ เข้าไปถือหุ้นในบริษัทย่อย สแกน แอดวานซ์ พาวเวอร์ จำกัด (SAP) ยังคงดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง โดยได้เดินหน้าติดตั้งแผงโซลาร์ผลิตพลังงานไฟฟ้าเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ไฟ ทั้งนี้ SAP ยังคงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าและมีความต้องการในการติดตั้งอย่างต่อเนื่อง คาดว่าภายในเดือนเม.ย.นี้จะทยอยเปิดผลิตไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ถึง 1.7 MW จากสัญญาที่เซ็นไปแล้วคิดเป็นกำลังการผลิตรวมทั้งหมดกว่า 10 MW ส่วนธุรกิจยานยนต์ บริษัทยังคงมีรายได้จากสัญญารับเหมาซ่อมแซมและบำรุงรักษารถโดยสารปรับอากาศ NGV จำนวน 489 คัน ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 10 ปี โดยบริษัทมองว่าการรับรู้รายได้จากส่วนงานที่ลงทุนไปแล้วทั้งสามส่วนที่กล่าวในข้างต้นจะมีส่วนช่วยอย่างมากต่อผลประกอบการโดยรวมของบริษัท ขณะเดียวกันในสถานการณ์ที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายของภาครัฐ บริษัทได้เตรียมพร้อมด้านอุปกรณ์ป้องกันการระบาดของไวรัสโควิดไว้ให้พนักงานเพื่อสร้างความมั่นใจว่าทุกคนอยู่ในสภาพการทำงานที่เหมาะสมและปลอดภัยต่อโรค อีกทั้งมีมาตรการในการปรับขั้นตอนและจำนวนผู้ทำงานให้เหมาะสมเพื่อให้เกิดระยะห่างทางสังคม โดยปรับโยกพนักงานทางด้านออฟฟิศบางส่วนให้ไปทำงานที่บ้าน (Work From Home) นอกจากนี้ยังงดรับนัดหมายประชุมและพบปะโดยตรงกับบุคคลภายนอก โดยให้มีการประชุมผ่านเทคโนโลยีโดยใช้แอพพลิเคชั่นต่างๆแทนเพื่อป้องกันความเสี่ยงและปกป้องสวัสดิภาพของพนักงานจากวิกฤตการณ์โรคระบาดไวรัสโควิด-19 ด้วยมาตรการที่เข้มงวดควบคู่กับวางแผนการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยลดผลกระทบจากวิกฤติดังกล่าวได้ ทั้งยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่พนักงานและกลุ่มคู่ค้าได้เป็นอย่างดี และส่งผลให้การดำเนินงานของบริษัทเป็นไปอย่างราบรื่น