คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ตามหลักสัจธรรมของโลกนั้น สถานการณ์ที่ราบรื่นมิได้เป็นจุดทดสอบความเป็นผู้นำขององค์กรหรือของประเทศ แต่เมื่อใดก็ตามที่เกิดสถานการณ์ผิดปกติหรือเกิดวิกฤตใดๆเข้ามานั่นแหละคือ “โอกาสอันดีที่จะทดสอบความเป็นผู้นำว่ามีศักยภาพมากน้อยเพียงใด” สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ บางครั้งมีผลทำให้พวกเรารู้สึกกลัวและหวาดระแวง อีกทั้งเชื้อไวรัสร้ายแรงนี้ไม่มีข้อยกเว้นว่าจะคร่าชีวิตใคร เมื่อไหร่ และยังไม่มีคำว่าประนีประนอมต่อรองใดๆทั้งสิ้น ในกรณีของ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ผู้นำของประเทศมหาอำนาจเยี่ยงสหรัฐอเมริกาที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งหากจะวิเคราะห์กันแล้วเขาก็คงจะมีความทุกข์ไม่น้อยด้วยเช่นกัน เพราะเขาคงจะมีเรื่องให้เฝ้าครุ่นคิดร้อยแปดพันประการไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรคระบาดที่กำลังผลาญพร่าชีวิตของอเมริกันชนจนขึ้นเป็นอันดับสูงที่สุดในโลกและจะมีหนทางแก้ไขได้อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ขณะนี้ธุรกิจของเขาก็ได้รับผลกระทบไม่น้อยด้วยเช่นกัน ไม่ว่าเรื่องที่จะทำอย่างไรให้ได้รับเลือกในสมัยที่สอง และเรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ จะทำอย่างไรที่จะได้รับการสรรเสริญชื่นชมว่าเขาคือผู้นำที่แข็งแกร่งในยามที่สหรัฐฯกำลังเผชิญกับมรสุมรอบด้าน!!! และเพื่อความเป็นธรรมเราก็ควรเห็นอกเห็นใจประธานาธิบดีทรัมป์ในฐานะที่เขาก็เป็นนักธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างมหาศาลด้วยเช่นกัน ที่ขณะนี้ต้องปลดคนงานออกถึง 1,500 คน และจากการเปิดเผยของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์เมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมานี้ระบุว่า สนามกอล์ฟหลายแห่งของเขาไม่ว่าจะเป็นที่ ลาสเวกัส นิวยอร์ก วอชิงตัน ฟลอริดา นิวเจอร์ซี่ย์ ต่างก็ต้องปิดกิจการตามคำสั่งทั้งหมด การดำริของประธานาธิบดีทรัมป์ที่เห็นสมควรจะให้ธุรกิจทั่วสหรัฐฯเปิดทำการในวันที่ 1 พฤษาคมเดือนหน้าที่จะถึงนี้ กลับถูกต่อต้านหนักจากบรรดาผู้ว่าฯรัฐต่างๆ แต่ประธานาธิบดีทรัมป์ก็มิได้ออกอาการสะทกสะท้านแต่อย่างใด โดยเขาได้ออกมากล่าวเมื่อวันจันทร์นี้ว่า “ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นประธานาธิบดี ข้าพเจ้ามีอำนาจเบ็ดเสร็จทุกอย่าง” แต่ดูเหมือนว่าทันทีที่ข้อความนี้หลุดออกมาจากปากของประธานาธิบดีทรัมป์ เขาได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากทั้งนักการเมืองค่ายพรรครีพับลิกัน และค่ายพรรคเดโมแครตรวมไปถึงเหล่าบรรดานักวิชาการอีกด้วย “มร.แลรี โฮแกน” ผู้ว่ารัฐแมรีแลนด์สังกัดพรรครีพับลิกันและยังดำรงตำแหน่งประธานสมาคมผู้ว่าฯแห่งชาติ ได้ออกมาตอบโต้อย่างทันควันว่า “สิทธิในการเปิดหรือปิดธุรกิจมิได้ขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีทรัมป์ แต่ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับผู้ว่าฯในแต่ละรัฐต่างหาก” ส่วน “มร.แอนดรูว์ คูโม”ผู้ว่าฯรัฐนิวยอร์กก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการ “NBC Today” เมื่อวันอังคารนี้ โดยเขาได้เอ่ยปากเตือนว่า “หากประธานาธิบดีทรัมป์ยังบังอาจสั่งเปิดธุรกิจทั่วประเทศ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ว่าฯรัฐต่างๆ ก็อาจจะนำมาซึ่งวิกฤตภายในประเทศอย่างใหญ่หลวง” และในเวลาเดียวกันนี้ก็ยังมี “มร. เจย์ อินสลีย์”ผู้ว่าฯของรัฐวอชิงตันสังกัดพรรคเดโมแครต ก็ได้ออกมาตอบโต้ประธานาธิบดีทรัมป์ด้วยเช่นกันว่า “พวกเราไม่สามารถทำตามคำบงการของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ เพราะจะนำมาซึ่งความเสียหายอย่างมหาศาล” อนึ่งแนวความคิดของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ต้องการสั่งให้มีการเปิดธุรกิจทั่วทั้งสหรัฐฯนั้น ก็ได้ถูกต่อต้านอย่างแข็งขันจาก“ดร.แอนโทนี ฟูซี” อายุ 79 ปีผู้เชี่ยวชาญทางด้านภูมิคุ้มกัน ซึ่งรับหน้าที่ “ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ” มาแล้วอย่างยาวนานถึง 36 ปี ตั้งแต่ปี 1984 โดยเขาผู้นี้ยังเป็นหนึ่งในคณะของทีมแก้ไขปัญหาโรคโควิด 19 อีกด้วย!!! อีกทั้งการที่ “ดร.ฟูซี”ออกมากล่าวว่า “หากเปิดธุรกิจต่างๆทั่วทั้งสหรัฐฯเร็วเกินไปก่อนที่โรคระบาดร้ายแรงจะชลอตัวหรือยุติลงนั้น ก็อาจจะทำให้โรคโควิด-19 กลับมาอีกในคำรบที่สอง”และเขายังได้ชี้ว่า “หากสหรัฐฯบริหารจัดการและมีแผนรองรับอย่างจริงจังตามข้อเสนอของข้าพเจ้าตั้งแต่เริ่มแรกแล้วละก็ ยอดของผู้เสียชีวิตคงจะลดน้อยลงไปกว่านี้อย่างแน่นอน” อย่างไรก็ตามเมื่อวันอาทิตย์ที่เพิ่งผ่านมานี้ประธานาธิบดีทรัมป์ได้โพสต์ลงบนทวิตเตอร์ขู่อยู่ในเชิงว่าจะสั่งปลด ดร.ฟูซี แต่ทำเนียบขาวกลับออกมากล่าวปฏิเสธอย่างจ้าละหวั่นว่าเป็นความจริง คงเพราะกลัวที่จะสูญเสียคนเก่งฝีมือดี และกลัวที่จะถูกตำหนิจากประชาชนคนอเมริกันร่วมชาติ!!! อนึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางแล้วว่าประธานาธิบดีทรัมป์เป็นบุคคลที่มีอารมณ์แกว่งไม่นิ่ง มีนิสัยดื้อรั้นและยึดติดอยู่เสมอๆว่า ตนเองเก่งฉลาดเหนือกว่าทุกๆคน แถมยังดูหมิ่นไม่ยอมรับฟังผู้ที่มีความคิดเห็นต่างไปจากเขาอีกด้วย !!! คราวนี้เราลองหันมาดูกันว่า คนอเมริกันมีความคิดเห็นอย่างไรระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับ ดร.แอนโทนี ฟูซี จากการหยั่งเสียงของ “Business Insider” โดยหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ได้ออกมายืนยันรับรองว่า “Business Insider” มีคุณภาพไม่แพ้หนังสือพิมพ์ “Wall Street Journal” โดยโพลสำนักดังกล่าวได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันที่ 14 เมษายนนี้ว่าดร.ฟูซีได้รับคะแนนความน่าเชื่อถือโดยเฉลี่ย 3.96% จากคะแนนเต็ม 5 โดยประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับความน่าเชื่อถือเพียงแค่ 2.48% ส่วนผลของการหยั่งเสียงของ Quinnipiac University ซึ่งเป็นสำนักหยั่งเสียงเกรดเอได้เปิดเผยเมื่อวันที่ 8 เมษายนนี้ว่าดร.ฟูซีได้รับความเชื่อถือจากคนอเมริกันสูงถึง 78% ในขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเพียง 46% และคนอเมริกันถึง 70% เชื่อว่าความเลวร้ายของโรคโควิด -19 จะเพิ่มสูงมากยิ่งๆขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 13 มีนาคมนี้กองบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ทรงอิทธิพลมาแล้วยาวนาน “Chicago Sunday Times” ได้เขียนลงในบทบรรณาธิการว่า “การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ขู่ที่จะปลดดร.ฟูซีออกจากทีมนั้น นับว่าไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด และคนอเมริกันเชื่อมั่นไว้ใจดร.ฟูซีถึงขนาดยอมเซ็นชื่อลงบนเช็ค โดยไม่ต้องกรอกตัวเลขลงไปกล้าที่จะปล่อยไว้ว่างเปล่า (blank check) แต่มิใช่กับประธานาธิบดีทรัมป์” และยังได้ชี้อีกว่าดำริของประธานาธิบดีทรัมป์ที่จะเปิดธุรกิจขณะที่โควิดกำลังระบาดอยู่นั้น นับเป็นการกระทำที่ผิดพลาดมหาศาล ส่วนผู้ว่าฯแอนดรูว์ คูโม ซึ่งได้รับคะแนนนิยมสูงอับดับสอง 59% รองจาก ดร.ฟูซี ก็ได้ให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้เช่นเดียวว่า “ดร.ฟูซี่เป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดและเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเชื้อไวรัสโควิด- 19 และข้าพเจ้าก็มักจะโทรศัพท์ไปขอคำปรึกษาจาก ดร.ฟูซีอยู่ตลอดเวลาไม่เว้นแม้กระทั่งตอนกลางคืน ซึ่งดร.ฟูซีก็ให้คำแนะนำต่อข้าพเจ้าด้วยความยินดีและเต็มใจ” กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเมื่อมองจากภาพรวมแล้วความมั่นใจของคนอเมริกันที่มีต่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ด้านการบริหารจัดการกับโรคระบาดไวรัสโควิด -19 นับว่ามีน้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับ ดร.แอนโทนี ฟูซี อีกทั้งคนอเมริกันส่วนใหญ่ยังมองว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ล้มเหลวด้านนโยบายสวัสดิการสุขภาพอย่างสิ้นเชิง และที่เลวร้ายสุดๆก็คือคนอเมริกันถึง 55% คิดว่าประธานาธิบดีทรัมป์กำลังนำสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งเลวร้ายยิ่งไปกว่าในสมัยก่อนหน้าที่ประธานาธิบดีบารัก โอบามา จะเข้าสู่ทำเนียบขาว และที่ถือว่าเป็นข่าวร้ายมากที่สุดของประธานาธิบดีทรัมป์ก็คือ คะแนนนิยมของโจ ไบเดนในขณะนี้มีนำหน้าเหนือกว่าเขาถึง 8% เท่ากับว่าขณะนี้ประธานาธิบดีทรัมป์กำลังนำพาอเมริกันชนพบกับฝันร้ายขวัญผวานอนสะดุ้งละครับ