ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก Sudarat Keyuraphan ระบุข้อความว่า...
เพื่อไทยแถลงย้ำ รัฐบาลต้องตัดงบไม่จำเป็นก่อนกู้กว่าล้านล้านบาท การเยียวยา 5,000 บาท ต้องครอบคลุมทั่วถึงผู้เดือดร้อน รวมทั้งเกษตรกรต้องได้รับการดูแล ต้องเร่งช่วยเหลือ SME นอกระบบ ให้เข้าถึงแหล่งทุน และต้องเตรียมผ่อนคลายมาตรการให้ประชาชนทำมาหากิน คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยแถลงในนามพรรค ชี้มาตรการการเงินและการคลังกว่า 1.9 ล้านล้าน ต้องเยียวยาประชาชนอย่างทั่วถึงเป็นธรรม รวมทั้งต้องใช้เงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการจ้างงานและการสร้างรายได้ใหม่ เสนอตั้งกรรมการตรวจสอบการบริหารเงินกู้ และต้องรายงานต่อสภาทุก 3 เดือน เพื่อใช้สภาในการตรวจสอบการใช้เงินกู้จำนวนมโหฬารเกือบ 2 ล้านล้านบาทนี้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจของไทย “พรรคเพื่อไทยเห็นว่า วิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้ มีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชน ทั้งด้านการสาธารณสุข เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตอันเป็นปกติของมนุษย์ ซึ่งการแก้ไขวิกฤติที่เกิดขึ้นทั้งระบบดังกล่าว เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องกระทำ ด้วยวิสัยทัศน์ ยุทธศาสตร์และมาตรการต่าง ๆ ทั้งในทางกฎหมายและทางปฏิบัติที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ และรับผิดชอบตามหลักการการบริหารราชการแผ่นดินที่ดี” พรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ขอทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชน ในการเสนอความคิดเห็นเพื่อให้เกิดความรอบคอบในการใช้เงิน และความพึงพอใจของพี่น้องประชาชน ในการใช้เงินดังกล่าว ดังต่อไปนี้ 1) หั่นงบประมาณปี 2563 ที่ไม่จำเป็นก่อน แล้วค่อยกู้ ถ้ารัฐบาลทำจริงจะสามารถลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นเร่งด่วนลง 10-15 % เราจะลดการกู้เงินลงได้ถึง 500,000 ล้านบาทและสำหรับการทำแผนงบประมาณปี 2564 ก็ต้องทบทวน เพื่อตัดงบที่ไม่จำเป็นทิ้ง 10-15 % เช่นกัน จะทำให้ได้งบสนับสนุนเพิ่มอีกจำนวนหลายแสนล้าน เพื่อมาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจหลัง COVID-19 "อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลไม่สามารถปรับลดงบประมาณฯ ได้ตามเป้าหมาย 5 แสนล้านบาท ก็ควรมีคำอธิบายต่อพี่น้องประชาชน ว่าได้พยายามในการปรับลดแล้วอย่างไรบ้าง ติดขัดที่ตรงไหน และมีความจำเป็นเร่งด่วนอย่างไร รวมถึงสรุปให้เห็นชัดเจนว่าสามารถลดวงเงินจากการกู้ 1.0 ล้านล้านบาท ได้มากที่สุดเท่าใด เพราะเหตุใด" 2) การใช้งบประมาณกว่า 1.9 ล้านล้านบาท จะต้องเกิดประสิทธิผลสูงสุด ทั้งด้านการดูแลเยียวยาประชาชน การดูแลบุคลากรด้านสาธารณสุข การดูแลธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ และการลงทุนเพื่อให้เกิดผล ตอบแทนทางเศรษฐกิจทั้งปัจจุบันและในอนาคต อยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดยพรรคเพื่อไทยมีข้อเสนอหลัก ๆ ซึ่งเคยเสนอไปแล้ว ได้แก่ 2.1 ช่วยเหลือตามมาตรการเยียวยา รายละ 5,000 บาท อย่างครอบคลุมและทั่วถึง ซึ่งต้องรวมถึงพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งจากโรคระบาดและภัยแล้ง พรรคเพื่อไทยได้เสนอให้เยียวยาเกษตรกรเป็นรายครอบครัว ๆ ละ 35,000 บาท เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบซ้ำซ้อน ทั้งจากภัยโควิดและภัยแล้ง 2.2 อย่าให้บุคลากรการแพทย์ต้องเป็นผู้ป่วยเสียเอง เพราะคุมการกักตุน-โก่งราคาสินค้า อย่างที่เกิดมาตลอด 3 เดือนนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องจัดสรรเงินอย่างเพียงพอและทั่วถึง เพื่อจัดหาเครื่องมือ เครื่องใช้ และอุปกรณ์ทางการแพทย์และการสาธารณสุข เพื่อหยุดการแพร่ระบาด การรักษาผู้เจ็บป่วย โดยไม่ปล่อยให้ขาดแคลนอุปกรณ์ หรือมีการกักตุน โก่งราคาสินค้า ดังเช่นที่เกิดขึ้นตลอดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา 3) หนุน SME เข้าถึงเงินกู้ - SME ต่างจังหวัดใช้งบผู้ว่าฯ 20 ล้านหนุนได้ทันที สำหรับ SME ไทยนั้น กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ได้เข้าถึงระบบการกู้จากธนาคารตามปกติ รัฐต้องช่วยให้เข้าถึงเงินกู้ ที่มีรายได้มากกว่า 25 ล้านบาทต่อปี ควรเน้นไปที่มาตรการด้านภาษี ความสะดวกหรือสิทธิพิเศษในการส่งออกหรือนำเข้า และการตลาด ส่วน SME ที่มีรายได้ 100,000-10,000,000 ล้านบาท ควรเน้นมาตรการทางภาษี แหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ และการตลาด สำหรับ SME ในต่างจังหวัดนั้น ใช้งบผู้ว่าราชการจังหวัด 20 ล้าน ดูแลได้ทันทีและควรมอบอำนาจให้ผู้ว่าฯ ดู SME ต่างจังหวัดอย่างรอบด้าน เพราะผู้ว่าฯ มีข้อมูล SME ในจังหวัดของตนเองครบถ้วนอยู่แล้ว 4) รัฐบาลต้องชี้ให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ของประเทศว่า วิสาหกิจที่จะพลิกฟื้นและเปลี่ยนวิกฤติโควิด-19 ให้เป็นโอกาสอย่างรวดเร็วได้นั้น จะต้องเน้นที่พื้นฐานอันจำเป็นของชีวิตเป็นเบื้องต้น เช่น อาหาร สุขภาพ ยารักษาโรค ทั้งแบบสมัยใหม่และแบบสมุนไพร วัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับการสาธารณสุข รวมทั้งการสนับสนุนสินเชื่อ หรือยกเว้นภาษีเกี่ยวกับการนำเข้า เพื่อลงทุนเกี่ยวกับเครื่องมือ อุปกรณ์ หรือเครื่องใช้ที่ปลอดภัยจากไวรัส เช่น เครื่องปรับอากาศ ฆ่าเชื้อ เป็นต้น รวมทั้งการจัดอบรมบุคลากรที่อยู่ในอุตสาหกรรมบริการ (Service Industry) ให้มีมาตรฐานความปลอดภัยทางด้านสาธารณสุข เพื่อให้ไทยเป็นประเทศที่มีทั้งสถานที่ และการบริการที่ปลอดภัยจากไวรัส ทำให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุนที่จะเดินทางเข้ามาในประเทศในอนาคต มีความเชื่อมั่นมากขึ้น 5) ในส่วนพระราชกำหนดให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทย ดูแลเสถียรภาพภาคการเงินวงเงิน 400,000 ล้านบาท โดยจัดตั้งกองทุนรวมเสริมสภาพคล่องตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate Bond Liquidity Stabilization Fund : BSF) เพื่อซื้อตราสารหนี้เอกชนคุณภาพที่ดี ครบกำหนดชำระในช่วงปี พ.ศ. 2563 – 2564 นั้น พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ควรเป็นผู้ให้กู้โดยตรงกับภาคเอกชน ทั้งนี้ เพื่อรักษาหลักการของการเป็นธนาคารกลางของประเทศที่มีความน่าเชื่อถือไว้ จึงควรให้ธนาคารพาณิชย์รับซื้อ แล้วจึงนำมาเป็นหลักประกันเพื่อกู้เงินจำนวนนี้ต่อธนาคารแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้ให้กู้รายสุดท้าย (Lender of last resort) หากธนาคารแห่งประเทศไทยเข้าไปดำเนินการเสียเองตั้งแต่ต้น ก็อาจจะถูกกล่าวหาว่า เอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนบางราย หรือเลือกปฏิบัติได้ อันจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นในระบบการเงินของประเทศ และต่อธนาคารแห่งประเทศไทย 6) เสนอตั้งกรรมการตรวจสอบติดตามการใช้เงินกู้ – รายงานสภาทุก 3 เดือน รัฐบาลต้องมีแนวทางและมาตรการการใช้เงินกู้อย่างโปร่งใส มีประสิทธิผลและตรวจสอบได้ โดยตั้งคณะกรรมการที่ครอบคลุมผู้เกี่ยว ข้องทุกฝ่าย ทั้งจากภาครัฐและเอกชน เพื่อตรวจสอบแนวทางการใช้เงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และมีผล ตอบแทนทางเศรษฐกิจ จากนั้น ต้องรายงานการใช้เงินให้สภาผู้แทนราษฎรทราบเพื่อการตรวจสอบ ทุก 3 เดือน รวมถึงการกำหนดแนวทางหรือมาตรการ และระยะเวลาที่จะชำระคืนเงินกู้จนครบถ้วน 7) เตรียม Reopening คลายมาตรการให้ประชาชนได้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ประชาชนได้กลับมามีกิจกรรมทางเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันตามปกติโดยเร็วที่สุด “Reopening แบบมีข้อกำหนดทางสาธารณสุข ให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามกฎหมาย พ.ร.บ. ควบคุมโรค” บนพื้นฐานของความปลอดภัยของทุกฝ่าย ด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการจัดลำดับความสำคัญให้ผู้ประกอบการ และลูกจ้างที่ประสงค์จะดำเนินกิจการได้รับการตรวจ เพื่อให้เป็นผู้ปลอดเชื้อ รวมทั้งมีอุปกรณ์และมาตรการป้องกันผู้มาใช้บริการ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้มีปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกันอย่างปลอดภัย และสุดท้ายพรรคเพื่อไทยขอให้ข้อสังเกตว่า “การกู้เงินและใช้จ่ายเงินกู้จำนวน 1.0 ล้านล้านบาท นั้น ถือเป็นการจ่ายเงินแผ่นดิน ซึ่งจะกระทำได้เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการ งบประมาณ หรือกฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังหรือกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 140 พรรคเพื่อไทยจึงขอให้รัฐบาลดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ให้เป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญต่อไป เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศชาติ และประชาชนชาวไทย” คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวในท้ายที่สุด