นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Pat Hemasuk ระบุว่า... บนโซเชียลนั้นผมจะมองเห็นสมองและจิตใจคนบนสภาวะลำบากแล้วเขาสู้กันอย่างไร บางร้านก็บอกว่าดีเลยได้เวลาจัดร้านใหม่เพราะลูกค้าน้อยลงมีเวลามากขึ้น บางคนก็บอกว่าดีอีกเหมือนกันที่น้ำหนักลดลงมาจากที่ไม่ต้องไปเวียนไปทานอาหารร้านอร่อยอย่างที่เคย แต่ร้านอร่อยก็รุกหนักเกือบทุกร้านมีบริการใส่หลังรถมอเตอร์ไซด์มาให้ถึงที่แทน . ร้านขายเสื้อผ้าในเวลานี้ก็เปลี่ยนมาขายหน้ากากกับเจลล้างมือ ร้านที่ผมเห็นก็กำลังเย็บหน้ากากลายดอกไม้เทศกาลสงกรานต์ที่ขายดีพออยู่ได้ไม่เดือดร้อน ผมถามว่าหมดสงกรานต์แล้วจะเป็นลายอะไรดี แม่ค้าบอกว่าเข้าวัดเลยคะคุณพี่ขา เย็บหน้ากากสีจีวรขายให้คนเอาไปถวายพระ ซื้อผ้ามาแล้วจะไปเปิดแผงขายข้างร้านขายกับข้าวใส่บาตรอย่างไรคนก็ซื้อใส่บาตรพระแน่นอน เดือนหน้าก็วันวิสาขะแล้วหนูหวังล็อตใหญ่ค่ะคุณพี่ ผมเห็นเรื่องการปรับตัวของคนไทยนั้นไม่เป็นรองใคร ความฉลาดในการทำมาหากินนั้นเราเก่งพอสมควร ร้านเสริมสวยที่ต้องปิดไปแต่ก็ใช้ไลน์ที่เคยนัดจองคิวทำผมกลายเป็นนัดส่งขนมส่งแชมพูอาหารสุขภาพถึงบ้านแทน อย่างไรคนก็ต้องกินต้องอยู่ ขายปัจจัย 4 พื้นฐานชีวิตอย่างไรก็ขายได้ ถ้ารู้จักดัดแปลงชีวิตและทรัพยากรที่มีอยู่เดิมออกมาทำเงิน แม้จะไม่มากเท่าเดิม แต่ก็อยู่ไม่อดตายแน่นอน นี่ผมยังไม่ไปถามทันตแพทย์ประจำตัวผมว่ามีโปรเจคทำทำหากินอะไรในช่วงคลีนิกทำฟันต้องปิดแบบนี้ แต่ผมเชื่อว่าต้องมีแน่ๆ และมีแบบที่ผมน่าจะเดาไม่ถูกอีกด้วย . คนเหล่านี้แหละครับที่คนส่วนมากมองว่าพวกเขาลำบาก แต่บนความลำบากนั้นพวกเขาก็ปรับตัว แต่ขยันคิดทำมาหากินให้มากขึ้น เผยแพร่สิ่งดีๆ ให้กำลังใจแก่คนรอบตัว ทำดีให้สังคมอยู่รอด อยู่เมืองไทยไม่อดตายหรอกครับถ้าสู้ชีวิตและไม่ก่อหนี้จนเกินตัว มีเรื่องเล่าของคนจีนที่มาอยู่เมืองไทยสมัยก่อนนี้เคยพูดแบบขำๆ ว่าถ้าลืมไม้กวาดทิ้งค้างคืนไว้หน้าบ้าน ตอนเช้าตื่นขึ้นมาไม้กวาดยังงอกเป็นต้นได้เลย นั่นเพราะว่าพวกเขาเคยอยู่ที่ลำบากกว่าเมืองไทย เลยเห็นเมืองไทยเป็นดินแดนแห่งโอกาสของพวกเขา . ************************************************************* . ผมกำลังจะพูดถึงคนกลุ่มที่สองที่ได้แต่ บ่น บ่น และบ่น พูดแต่เรื่องไม่ดีเสียทุกเรื่อง แม้ว่าตัวเองเพิ่งไปกดเงินห้าพันบาทที่รัฐบาลให้ฟรีมาก็ตาม ในขณะที่คนอื่นก็เดือดร้อนกว่าแต่ก็ไม่มีโอกาสได้เงิน เพราะไม่มีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนด คนเหล่านี้ส่วนมากจะพูดแต่เรื่องที่คนเข้าไปคุยด้วยจิตใจห่อเหี่ยวกลับมา สี่อสารแต่เรื่องทางลบของความคิดตัวเองออกมา ด่าได้แม้แต่แดดร้อนจนไปถึงรัฐบาล ด่าแม้ประเทศของตัวเอง สิงคโปร์ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ญี่ปุ่นเกาหลีทำดีกว่าที่ไทยทำ เขาแจกเงินมากกว่าเรา บลา บลา บลา ฯลฯ . แต่ผมอยากจะถามจริงๆ ว่าถ้าแลกไปอยู่ประเทศที่บอกว่าดีกว่าประเทศไทยตอนนี้เลยจะไปกันไหม ในเวลาวิกฤติเช่นนี้บ้านเราทุกอย่างฟรี แต่ที่ประเทศเหล่านั้นถ้าไม่มีประกันสุขภาพที่ต้องจ่ายเงินรายปีในราคาแพง ก็ต้องเสียเงินหลายแสนบาทหรืออาจจะถึงล้านบาท ถ้าต้องป่วยเข้าโรงพยาบาลไปในเวลาวิกฤติแบบนี้ มีแต่คนไทยที่อยู่ต่างประเทศดิ้นรนอยากกลับบ้านกลับเมืองไทยทั้งนั้น เพราะอยู่ที่นั่นถ้าโชคร้ายติดเชื้อคือนอนจนกว่าจะหายด้วยตัวเอง หรือไม่ตายคนเดียวศพเน่าคาที่พักแน่นอน ถ้าไม่มีเงินมากพอที่จะเข้าระบบรักษาพยาบาลของเขา . ผมอยากจะแนะนำให้คิดแต่เรื่องดีเสียบ้าง เอาเวลาคิดบวกกับตัวเอง คิดบวกกับสังคม คิดบวกกับประเทศไทย เอาเวลามาคิดทำมาหากินดีกว่าครับ คิดรักประเทศไทย ให้กำลังใจกันและกันกับคนในสังคมรอบตัว พูดและทำในสิ่งที่คนอื่นรอบตัวยิ้มออก นี่คือความสุขที่ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อหาแต่แบ่งปันกันได้ เลิกปัญญาอ่อนเรื่องจะให้รัฐบาลโอบอุ้มตัวเองให้มากกว่านี้ ตัวเองมีแต่เวลาที่จะด่าสิ่งรอบตัวที่ไม่ถูกใจ แต่ไม่มีเวลาคิดว่าจะทำอย่างไรให้ตัวเองอยู่รอดในสภาวะเช่นนี้ . จะมองดูคนให้ดูตอนลำบาก คำพูดคำนี้ใช้ได้แบบไม่ล้าสมัยเลยครับ .