ภาครัฐหารือเอกชน 13 เม.ย.นี้เดินหน้าจัดทำแผนเตรียมเปิดให้บริการเดือน พ.ค.นี้ บริษัทขนาดใหญ่ย้ำไม่ปลดพนักงานออกแน่นอน แม้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าไทย เปิดเผยว่าในวันที่ 13 เม.ย.นี้ ภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)และหน่วยงานภาครัฐประกอบด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.),สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)จะประชุมร่วมกัน โดย สศช.จะทำหน้าที่เป็นประธาน เพื่อรวบรวมข้อมูลและรับฟังปัญหาจากภาคเอกชนในสถานการณ์โควิด-19 ว่าหลังจากการควบคุมจนสามารถการแพร่ระบาดลดน้อยลง โดยจะมาดูว่าเมื่อครบกำหนดที่รัฐสั่งปิดสถานประกอบการและควบคุมโควิด-19 ได้แล้ว การเปิดดำเนินธุรกิจแต่ละสาขาจะต้องดำเนินการอย่างไร ทั้งนี้ สศช.จะเป็นผู้รวบรวม เพื่อนำข้อเสนอต่างๆไปเสนอภาครัฐ เชื่อว่าจากความร่วมมือของภาครัฐและเอกชน รวมถึงหากประชาชนทั้งประเทศให้การร่วมมือกับมาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลน่าจะทำให้ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ลดน้อยลง ดังนั้นเอกชนจะต้องเตรียมตัวหากสถานการณ์ต่างๆเข้าสู่ภาวะปกติและเปิดดำเนินการตั้งแต่เดือนพ.ค.63ต้องทำอย่างไรบ้าง โดยขณะนี้ได้รับคำยืนยันจากผู้ประกอบการายใหญ่เช่น กลุ่มซีพี ห้างเซ็นทรัล หรือกลุ่มเอสซีจี และอีกหลายกลุ่มที่เป็นสมาชิกหอการค้าไทยต่างยืนยันว่าจะไม่ปรับลดพนักงานหรือเอาพนักงานออกแต่อย่างใด เพราะขณะนี้เชื่อว่าผู้ประกอบการทั้งระบบได้เตรียมมาตรการรองรับการดูแลพนักงานต่างๆอย่างดี ที่สำคัญเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติการเปิดให้บริการของห้างสรรพสินค้าต่างๆเดือนพ.ค.เป็นต้นไป จากการที่ฟังข้อเสนอของกลุ่มห้างเซ็นทรัลและห้างสรรพสินค้าต่างๆแต่ละห้างมีมาตรการดูแลไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค “ที่ผ่านมาห้างสรรพสินค้าไม่ใช่เป็นพื้นที่แพร่ระบาดของโรค แต่ยอมรับว่าหลังจากนี้ทั้งผู้ประกอบการและผู้ผลิตสินค้าต่างๆจะใช้มาตรการดูแลสุขอนามัยทั้งบุคลากรและพื้นที่ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 น้อยลง ดังนั้นในวันที่ 13 เม.ย.นี้ แต่ละกลุ่มจะเตรียมนำข้อเสนอ เพื่อให้ สศช.รับไปดำเนินการเต็มที่” นายสนั่น อังกุบลกุล รองประธานหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ขณะนี้ทางบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นสมาชิกหอการค้าไทยได้มีแนวทางในการร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจ พร้อมทั้งไม่มีนโยบายปลดคนพนักงานในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อลดผลกระทบด้านสังคม แม้จะได้รับผลกระทบทางธุรกิจอย่างมาก ทั้งภาคบริการและภาคส่งออกโดยเฉพาะการส่งออกไทยปีนี้คาดว่าภาพรวมอาจติดลบสูงสุดถึง 10% หากสถานการณ์โรคลากยาวไปจนถึงปลายปี