พาณิชย์เผยโควิด-19 กระทบทั้งระบบรายได้หดหาย ทั้งรายได้นักท่องเที่ยว-ส่งออก-งดกิจกรรม-ราคาพลังงานร่วงฉุดเงินเฟ้อมี.ค.ต่ำสุด51เดือน ปรับเป้าเงินเฟ้อปี 63 ใหม่ เหลือ -1.0 ถึง -0.2% จากเดิม 0.4-1.2% น.ส.พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสต์การค้า(สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนมีนาคม 2563 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ลบ 0.54% หดตัวครั้งแรกในรอบ 33 เดือน และเป็นอัตราต่ำที่สุดในรอบ 51 เดือน(4 ปี 3เดือน)นับจากเดือนมกราคม 2559 สาเหตุเงินเฟ้อหดตัวสูงมาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 และการลดลงของกลุ่มพลังงานที่ลดลงต่ำสุดในรอบ 48 เดือน หรือลดลง 11.14% ตามภาวะสงครามราคาน้ำมันโลกระหว่างซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศลดลงถึง 11 ครั้งในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่วนกลุ่มอาหารสด แม้ขยายตัว 2.46% แต่เป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบปี เป็นผลจากความต้องการที่ลดลงตามจำนวนนักท่องเที่ยว การปิดให้บริการของร้านค้า และการปิดภาคเรียน ขณะที่ราคาอาหารสำเร็จรูป เครื่องประกอบอาหาร และของใช้ส่วนบุคคล ยังทรงตัวและเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชั่นของห้างโมเดิร์นเทรด อย่างไรก็ตามสินค้าบางรายการมีราคาสูงขึ้น โดยเฉพาะมะนาวที่ปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะภัยแล้ง และไข่ไก่ที่ปรับขึ้นตามพฤติกรรมการซื้อไข่ครั้งละจำนวนมาก เพื่อลดการเดินทางของผู้บริโภค ประกอบกับผลผลิตไข่ลดลงในช่วงฤดูแล้ง เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออกแล้ว เงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัว 0.54% เฉลี่ยไตรมาสแรกปี 2563 เงินเฟ้อทั่วไป และเงินเฟ้อพื้นฐานสูงขึ้น 0.41% และ 0.53% ตามลำดับ ทั้งนี้สถานการณ์ช่วงนี้ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ดังนั้นเครื่องชี้วัดต่างๆที่เป็นปัจจุบันจะมีทิศทางสอดคล้องกับความรุนแรง และความไม่แน่นอนของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และยังไม่ถือว่าเป็นภาวะเงินฝืด แม้เงินเฟ้อจะติดลบแล้ว เพราะเป็นเงินฝืดจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ไม่ใช้เกิดจากวัฎจักรปกติ สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ไตรมาส 2/ 2563 สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และแนวโน้มการลดลงของราคาพลังงานโลกเป็นปัจจัยสำคัญส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อต่ออุปสงค์และอุปทาน และยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะคลี่คลายได้เมื่อใด ขณะที่สถานการณ์ภัยแล้ง แม้จะส่งผลต่อผลผลิตสินค้าเกษตรบางชนิด แต่โดยรวมน่าจะมีผลน้อยกว่าปัจจัยด้านอุปสงค์ ซึ่งหากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปภายใต้ความไม่แน่นอนและส่งผลให้พฤติกรรมการบริโภคเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ลดทอนความต้องการและลดกิจกรรมทางธุรกิจแล้ว คาดว่าเงินเฟ้อในไตรมาสที่ 2 จะมีโอกาสลดลงต่อเนื่องถึงครึ่งหลัง โดยจากปัจจัยกระทบต่อเงินเฟ้อขาลง ทำให้กระทรวงพาณิชย์ทบทวนคาดการณ์เงินเฟ้อทั้งปี 2563 ใหม่ จากเดิม 0.8% กรอบบวก 0.4 ถึง 1.2% เป็น ลบ 0.6% กรอบลบ 1.0 ถึงลบ 0.2% บนสมมุติฐานจีดีพีติดลบ 4.8 ถึงลบ 5.8% น้ำมันโลก 35-45 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และ ค่าเงินบาท 30-32.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นภาวะเงินเฟ้อตกต่ำกว่าวิกฤตน้ำท่วมปี 54 เนื่องจากวิกฤติโควิดกระทบทั้งระบบรายได้หดหายจากรายได้นักท่องเที่ยว ส่งออก งดกิจกรรมจนกระทบต่อเศรษฐกิจตกต่ำ