วันที่ 3 เม.ย.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่มีแรงงานไทยที่ทำงานที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งส่วนใหญ่แรงงานขายอาหารต้มยำกุ้ง ได้ทยอยเดินทางออกมาจากประเทศมาเลเซียผ่านด่านศุลกากร อ.สะเดา จ.สงขลา และด่านสุไหงโกลกจ.นราธิวาสเ โดยแรงงานไทยทั้งหมดก่อนที่จะเดินทางออกจากด่านทั้งสองได้ถูกเจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบเอกสารพร้อมถูกคัดกรองสภาพร่างกายมาก่อนแล้วเบื้องต้น และได้ ทะยอยเดินทางเข้าพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในส่วนจังหวัดปัตตานีนั้น บรรดาแรงงานได้ทะยอยมาถึงพื้นที่ปัตตานี แต่เพื่อความปลอดภัยในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19ที่อาจจะออกไปหรือเข้ามาระบาดในพื้นที่ จึงต้องดำเนินการตรวจคัดกรองอีกครั้งอย่างละเอียดที่สุด เพราะแรงงานไทยทุกคนถือว่าเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง เราจึงต้องตรวจคัดกรองอีกครั้งที่ โรงยิมสนามกีฬา อบจ.ปัตตานี รวมจำนวนกว่า200คน จากการตรวจสภาพร่างกายของประชาชนนั้น ไม่พบผู้มีความเสี่ยงติดเชื้อ มีแต่บางรายที่มีอาการ หอม ไอ เล็กหน่อย ซึ่งทั้งนี้ยังไม่เข้าองค์ประกอบของผู้ติดเชื้อ หลังจากนั้น ผู้ที่ผ่านการคัดกรองที่สนามกีฬาเสร็จแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่ได้จัดรถเพื่อส่งไปยังอำเภอต่างๆ และมอบให้กำนัน ผู้ใหญ่หมู่บ้าน เพื่อนำไปกักตัวดูอาการ14วัน ตามสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ โดยไม่อนุญาติให้กลับบ้านโดยเด็ดขาด เพราะเกรงว่า จะไม่ปฏิบัติตามตามที่แจ้งไว้จึงต้องใช้ มาตรการณ์เข้มถือว่าในการป้องกันอีกมาตรการณ์หนึ่ง สำหรับยอดผู้ป่วยที่ติดเชื้อในพื้นที่ยังคงยอดไม่เพิ่มขึ้นมีจำนวน44คน เสียชีวิตแล้ว 1ราย มีรักษาตัวที่โรงพยาบาล20ราย อำเภอยะรัง มีผู้ติดเชื้อมากทีสุดคือ29ราย ด้านนางยูใบดะห์ มะเกะ เผยว่า ตนทำงานร้านต้มยำอยู่ที่กัวลาลุมโปประเทศมาเลเซีย ซึ่งที่โน้นการเป็นอยู่นั้นลำบากมาก จะไปไหนมาไหนไม่ได้ต้องกักตัวอยู่ที่บ้านเพียงอย่างเดียว ทำให้ตนและครอบครัวอยู่ไม่ได้จึงได้เดินทางกลับมายังประเทศไทยโดยเข้าทางด่านสะเดา จากนั้นขึ้นรถตู้เพื่อเดินทางกลับมายังจังหวัดปัตตานี และรถตู้ได้มาส่งตนที่สนามกีฬากลางซึ่งเป็นจุดเพื่อคัดกรองไวรัส โดยทางเจ้าหน้าที่ได้มีการสอบถามข้อมูลจากตน และทำการวัดอุณหภูมิ ตนเผยอีกว่า ตนมีความกังวล และกลัวมากกับการแพร่ระบาดของโควิด19ที่ประทศมาเลเซีย จึงต้องเดินทางกลับประเทศไทย อีกทั้งหากตนอยู่ที่มาเลเซียก็ทำงานไม่ได้ เพราะลูกค้าที่จะมาซื้อไม่กล้าออกมา ทำให้ร้านของตนเงียบ ตนจึงต้องทำการปิดร้าน และเดินทางกลับไทย ตนบอกว่าลำบากที่ไทยดีกว่าลำบากที่ประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้ตนอยากจะให้หน่วยงานของรัฐได้มีการเยียวยาแกประชาชน โดยให้แจกข้าวสาร ปลากระป๋อง เพราะชาวบ้านไม่อยากได้ตัง แค่มีกินประทังชีวิตก็พอแล้ว