"โฆษกรบ." เผย “นายกฯ” ไม่อยากใช้ยาแรง หากปชช.ให้ความร่วมมือลดการแพร่เชื้อโควิด-19 พร้อมเตรียมประเมินมาตรการเคอร์ฟิว 7 วัน หากตัวเลขผู้ป่วยยังพุ่ง อาจใช้เคอร์ฟิว 24 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2563 นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การประกาศเคอร์ฟิวของรัฐบาล ห้ามประชาชนออกจากบ้าน ในเวลา 22.00-04.00 น. ซึ่งมีผลในเย็นวันนี้ นั้นถือเป็นข้อกำหนดฉบับที่ 2 ในการประกาศตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หลังมีข้อกำหนดฉบับที่ 1 ออกมา ก่อนหน้านี้แล้วให้ปิดสถานที่ต่างๆ แต่ยังพบว่า ประชาชนยังทำกิจกรรมรวมตัวกัน ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 ได้ ซึ่งบางจังหวัดผู้ว่าราชการได้ใช้อำนาจออกคำสั่งห้ามประชาชนออกจากเคหะสถานไปบ้างแล้ว จึงนำมาสู่ในที่ประชุม ศบค. เมื่อวานนี้ ซึ่งนายกฯ เห็นว่าควรจะประกาศสำหรับทั่วราชอาณาจักร เพื่อควบคุมโรคให้ได้ เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อยังเพิ่มขึ้นที่หลักร้อยทุกวัน “รัฐบาลไม่อยากใช้ยาแรง แต่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องดำเนินการเช่นนี้ เพื่อลดการรวมกลุ่มของประชาชน ทั้งนี้จะมีการประเมินข้อกำหนดที่ประกาศล่าสุดนี้ ทุกวัน ตลอด 1 สัปดาห์ หากมีตัวเลขผู้ป่วยยังเพิ่ม มีความเป็นไปได้ว่า จะมีการพิจารณาประกาศเคอร์ฟิว ตลอด 24 ชั่วโมง แต่หากตัวเลขลดลง อาจจะผ่อนคลายมาตรการ” นางนฤมล กล่าว นางนฤมล กล่าวว่า นายกฯ ไม่อยากใช้ยาแรง หากได้รับความร่วมมือกับประชาชน โดยเฉพาะการเคลื่อนที่ให้น้อยที่สุด อย่าออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น โดยให้ทำงานที่บ้าน และแม้จะอยู่บ้านแล้ว ก็ต้องเว้นระยะห่าง ซึ่งเป็นเรื่องที่รณรงค์กันในขณะนี้ เพราะนายกฯห่วงใยประชาชน อย่างจริงใจ โดยเฉพาะการเว้นระยะห่างทางสังคม ที่ยังไม่ได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่ นางนฤมล กล่าวอีกว่า นายกรัฐมนตรี เข้าใจดีว่า ยังมีความจำเป็นสำหรับบุคคลบางกลุ่มที่ยังจะต้องออกมาทำงานในช่วงเวลาประกาศเคอร์ฟิว โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานทางด้านการแพทย์ การธนาคาร ขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ผลผลิตทางการเกษตร ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือทางการแพทย์ หนังสือพิมพ์ น้ำมันเชื้อเพลิง วัสดุภัณฑ์ หรือกลุ่มคนที่ทำงานเป็นกะ เพียงแต่ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ต้องมีเอกสารรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัด ถึงความจำเป็นในการเดินทาง ส่วนคนที่เจ็บป่วยก็มีข้อยกเว้นเช่นกัน ส่วนคนที่ไม่มีเหตุจำเป็นแต่ยังออกจากเคหะสถาน ก็มีโทษตามที่กำหนดไว้