“นายกฯ” ลั่นขอเป็น “แม่ทัพ” ปกป้อง “บุคลากรทางการแพทย์” ขอบคุณที่อดทน เสียสละ ยอมเสี่ยงเพื่อปชช. ขอลงมาคุมจัดหา “หน้ากากอนามัย-เวชภัณฑ์” ด้วยตัวเองย้ำทุกคนต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด วางเป้าหมายขจัดโควิดระบาดให้เหลือศูนย์ วันที่ 2 เม.ย.63 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) หรือ ศบค. แถลงผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงความคืบหน้าการดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินของศบค.ว่า ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เน้นเรื่องมาตรการ เว้นระยะห่างทางสังคม หรือ Social Distancing และรณรงค์ให้ทุกคน “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” รวมทั้งปฏิบัติตนตามคำแนะนำของหมอ สำหรับการสนับสนุนหน้ากากอนามัย เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เรื่องนี้สำคัญมาก ต้องมีระบบการกระจายที่มีประสิทธิภาพ ขาดแคลนไม่ได้ ซึ่งตนจะติดตามด้วยตัวเอง เพื่อให้ทีมหมอและพยาบาล ที่เปรียบเสมือนนักกรบที่อยู่แนวหน้า คอยต่อสู้และสกัดกั้นข้าศึกที่มองไม่เห็น ด้วยความเสียสละและอดทน ตนในฐานะ แม่ทัพ จะไม่ยอมให้กำลังหลักของเราต้องต่อสู้ภายใต้ความขาดแคลน และต้องมีขวัญกำลังใจที่เข้มแข็งเพื่อมีพลังเอาชนะวิกฤตครั้งนี้ ขอยืนยันว่าเรามียา ที่จำเป็นในการรักษาอย่างเพียงพอ และมีแผนการจัดหาเพิ่มเติมจากต่างประเทศ เพื่อเตรียมพร้อม สำหรับสถานการณ์ที่อาจลุกลามได้ และมีความพร้อมในเรื่องเตียง สำหรับผู้ป่วยโดยสามารถเพิ่มศักยภาพจากโรงพยาบาลทุกสังกัด หอพัก และโรงแรม ให้พร้อมรองรับผู้ป่วยที่อาจเพิ่มขึ้น ขอให้เชื่อมั่นว่าผู้ป่วยติดเชื้อโควิดทุกคน จะมีเตียงและยา ในการดูแลรักษาอาการป่วย ตามมาตรฐานสากล รวมถึงจะมีกองทุนประกอบด้วยกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนรักษาพยาบาลประกันสังคม และกองทุนรักษาพยาบาลสวัสดิการข้าราชการ มารับผิดชอบค่าใช้จ่ายให้ ด้านป้องกันและช่วยเหลือประชาชน เรายึดหลักสุขภาพนำเสรีภาพ โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ จำกัดการเดินทาง – การเคลื่อนย้ายคน และจำกัดการรวมตัวกันของคนจำนวนมาก ในพื้นที่เสี่ยงการแพร่ระบาดต่างๆ โดยแต่ละพื้นที่จะออกมาตรการที่เข้มงวด สอดคล้องตามสถานการณ์ และคำแนะนำทางการแพทย์ ซึ่งบางจังหวัดได้ยกระดับมาตรการทางการปกครอง เช่น การกำหนดเวลาเปิด-ปิดร้านค้า และเวลาออกจากบ้านเพิ่มเติมแล้ว ได้แก่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และภูเก็ต ซึ่งจะต้องเอาจริงเอาจัง เราอาจจะรู้สึกไม่สะดวกสบายเหมือนปกติบ้าง แต่เราทุกคนต้อง ปรับตัวเพื่อความอยู่รอด ต้องมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เราจึงจะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมการระบาด และลดการสัญจรของพี่น้องประชาชน จึงประกาศข้อกำหนด ห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน หรือเคอร์ฟิว ตั้งแต่เวลา 22.00 น. -04.00 น. ทั่วราชอาณาจักร โดยเว้นผู้ที่มีเหตุจำเป็น หรือผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ การธนาคาร การขนส่งสินค้าที่จำเป็นเพื่ออุปโภคบริโภค ยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ เชื้อเพลิงรวมถึง การเดินทางของประชาชนเพื่อเข้าออกเวรทำงาน หรือการเดินทางมาจากหรือไปท่าอากาศยาน โดยให้ขออนุญาตจากเจ้าหน้าที่ในเขตพื้นที่นั้นๆ ทั้งนี้ จะเริ่มในวันที่ 3 เม.ย เวลา 22.00 น.ซึ่งต้องขอให้พี่น้องประชาชนอย่าตื่นตระหนก และไม่ต้องกักตุนสินค้า อาหาร เพราะท่านยังสามารถออกมาซื้อหาข้าวของในช่วงกลางวันได้ตามปกติ แต่ต้องเคร่งครัดในเรื่องระยะห่างทางสังคม ด้านการควบคุมสินค้า ได้สั่งการให้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการกระจายหน้ากากและเวชภัณฑ์สำหรับประชาชน และศูนย์ปฏิบัติการควบคุมสินค้า ขอย้ำว่าจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดกักตุน หรือฉวยโอกาส หรือแสวงหาผลประโยชน์ ซ้ำเติมความทุกข์ยากของคนไทยด้วยกัน หลังจากที่รัฐบาลได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และเจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบสวนหาต้นตอของปัญหา ตลอดสายการผลิต ตั้งแต่ต้นทาง - กลางทาง - ปลายทาง สามารถจับกุมและเอาผิดผู้กระทำผิดไปแล้วหลายราย ซึ่งจะต้องรับโทษอย่างรุนแรง ทั้งนี้การกักตุนสินค้ามีอัตราโทษสูง จำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากประชาชนพบเห็นสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่สายด่วน บก.ปคบ. 1135 สำหรับด้านการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ รัฐบาลได้ออกมาตรการอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดภาระและบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น สำหรับประชาชนทุกกลุ่ม และผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ อาทิ เงินช่วยเหลือ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน สำหรับลูกจ้างรายวัน - อาชีพอิสระ - แรงงานนอกระบบ 9 ล้านคน การคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าและการใช้น้ำ รวมทั้งลดค่าน้ำ – ค่าไฟ 3 เดือน สำหรับทุกครัวเรือน ซึ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยเงินผ่อนบ้าน – ผ่อนรถ, ขยายเวลาชำระตั๋วจำนำ และลดอัตราขั้นต่ำจ่ายหนี้บัตรเครดิต สำหรับประชาชนทั่วไป รวมทั้งแรงงานที่อยู่ในระบบประกันสังคมด้วย ที่ลดการจ่ายเงินสมทบเหลือ 1% และขยายเวลาให้ 3 เดือน ส่วนผู้ประกอบการและ SME รัฐบาลก็จะช่วยคืนสภาพคล่อง - ลดภาระค่าใช้จ่าย - บริหารหนี้เดิมไม่ให้เป็น NPL ด้วยมาตรการด้านภาษีและการเงิน อีกหลายมาตรการ เพื่อทำให้ทุกคน ทุกฝ่าย มั่นใจได้ว่า “เราไม่ทิ้งกัน” ด้านการต่างประเทศ โดย ศบค. ได้ตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการมาตรการเดินทางเข้าออกประเทศ และการดูแลคนไทยในต่างประเทศ โดยมีการยกระดับการคัดกรองผู้เดินทางเข้าออกประเทศ อย่างเข้มงวด ไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เติมเข้ามาอีก ขอยืนยันชาวต่างประเทศ ไม่ได้เดินทางเข้ามาแล้ว ตั้งแต่ที่ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไป เว้นแต่เป็นผู้ที่ได้รับการยกเว้นตามข้อกำหนด เช่น คณะทูต หรือผู้ที่มีใบอนุญาตทำงานในไทย หรือลูกเรือที่มากับเที่ยวบินนั้นๆ สำหรับคนไทยในต่างแดน เราก็จะไม่ทอดทิ้งลูกหลาน - ญาติพี่น้องของเราเหล่านั้น เราได้หาทางแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดในโลก จะได้รับการดูแล หากต้องการกลับเมืองไทย ก็จะต้องผ่านกระบวนการคัดกรอง การกักตัว และการเฝ้าระวัง อย่างเข้มข้น สิ่งสำคัญอีกประการ คือ ด้านการสื่อสารในสภาวะวิกฤต เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นใจ และผู้ปฏิบัติงานมีความชัดเจน ไม่สับสน หรือสร้างความขัดแย้ง ศบค.จัดให้มีระบบการสื่อสารที่เป็น “เอกภาพ” ไปในทิศทางเดียวกัน หรือ Single Voice โดยจะมีการแถลงข่าวที่ถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ ในทุกช่องทาง เป็นประจำ “ทุกวัน” หลังการประชุมในช่วงเช้า โดยโฆษกศูนย์ และผู้รับผิดชอบโดยตรง “เท่านั้น” งดเว้น และหลีกเลี่ยง การให้สัมภาษณ์ของผู้ที่ไม่ได้รับมอบหมาย หรือเกี่ยวข้องกับมาตรการต่างๆ ของศูนย์ ผมขอให้สื่อมวลชนทุกสำนัก รวมถึงสื่อโซเชียล ใช้ความระมัดระวังในการสื่อสาร โดยขอให้ใช้ข้อมูลจากศูนย์นี้ เท่านั้น ห้ามการสื่อสารที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง ความเข้าใจผิด หรือบิดเบือนข้อมูล รวมถึงผู้ที่สร้างข่าวปลอม หรือ Fake News และการส่งต่อข่าวปลอม ทั้งที่ไม่เจตนา หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ที่มีผลต่อความมั่นคง ก็จะมีโทษตามพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินนี้ อย่างหนัก ดังนั้น เราจะต้องงดการส่งต่อข้อมูลที่ไม่ทราบแหล่งที่มา หรือไม่มั่นใจ เราควรส่งต่อข้อมูลที่สร้างสรรค์ เป็นประโยชน์ อาทิ ตัวอย่างการปฏิบัติตนตามนโยบายของภาครัฐ กิจกรรมจิตอาสา เป็นต้น ความประทับใจ ท่ามกลางวิกฤตนี้ ผมและรัฐบาล ได้ระดมผู้มีความสามารถ คนเก่งจิตอาสา จากวงการต่างๆ ทั้งด้านสาธารณสุข เทคโนโลยี การสื่อสาร และภาคธุรกิจอื่นๆ มาร่วมหารือ เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา อย่างรอบด้าน ผมขอขอบคุณ “จิตอาสา” ทุกท่าน ที่ไม่นิ่งดูดาย รวมพลังความรัก – ความสามัคคี ร่วมกันทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน รวมทั้งการร่วมบริจาคเงิน สิ่งของ อาหาร และการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน หลายคนเริ่มจากสิ่งง่ายๆ เช่น การเขียนข้อความ ทำคลิป หรือทำป้าย ให้กำลังใจกันและกัน “น้ำใจไทย” เช่นนี้เอง จะช่วยให้ประเทศไทยของเรา รอดพ้นจากวิกฤตนี้ไปได้ ผลการดำเนินการตามมาตรการต่างๆ ข้างต้น อย่างเคร่งครัด ทำให้สถานการณ์ขณะนี้ อยู่ในระดับที่ยังสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ คือ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อวัน เฉลี่ยแล้วอยู่ในอัตราไม่ถึง 20% ไม่สูงถึง 33% ที่เป็นระดับของประเทศมีการแพร่ระบาดอย่างหนัก ทั้งนี้ เป้าหมายร่วมกันของเรา คือ การขจัดโรคภัยและเชื้อร้ายนี้ ให้ได้โดยเร็วที่สุด และทุกคนปลอดภัย ดังนั้น เราจะต้องไม่ประมาท เราจะต้องไม่ปล่อยให้มี “ผู้ป่วย – ผู้ติดเชื้อรายใหม่” และทำให้ตัวเลขลดลงจนเป็น “ศูนย์” ให้ได้ เราจะต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างไม่ลดละ ต้องบังคับใช้มาตรการต่างๆ อย่างเข้มงวด อย่างต่อเนื่อง หากจำเป็น ก็จะต้องยกระดับใน “บางพื้นที่” ตามเหตุผลทางการแพทย์ ผมขอย้ำว่า ขอให้ประชาชนทุกคนร่วมมือปฏิบัติตนตามมาตรการแยกตัวอยู่บ้าน เพื่อลดภาระของทีมแพทย์และพยาบาล ที่เสียสละต่อสู้กันมานานหลายเดือน หาก “แนวหน้าเข้มแข็ง” และ “แนวหลังเข้มงวด” ประเทศไทยก็จะชนะศึกครั้งนี้ได้ อย่างแน่นอน สุดท้ายนี้ ผมขอแสดงความขอบคุณ เจ้าหน้าที่ทุกคน และทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บุคลากรทางการแพทย์ทุกท่าน ทั่วประเทศ ที่อดทน เสียสละ ทุ่มเทแรงกาย-แรงใจ ในการดูแล ช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ด้วยความเสี่ยงภัยและความยากลำบาก ขอให้ท่านรับรู้ว่า ทุกท่านเป็นบุคคลสำคัญในใจผม และคนไทยทุกคน และผมขอให้ทุกคนมั่นใจว่า ผมจะทำทุกทาง เพื่อที่จะนำพาประเทศของเรา ก้าวข้ามเวลาแห่งความยากลำบากนี้ไปให้ได้ อย่างมีสวัสดิภาพ อย่างพร้อมเพรียงกัน ขอให้พวกเรา...สู้!! ไปด้วยกันครับ!! ประเทศไทยต้องชนะ