ศบค. แถลงไทยติดเชื้อเพิ่ม 127 ราย เสียชีวิต 1 ราย นายกฯ ซึ้งปรากฏการณ์ปรบมือให้กำลังใจหมอ-พยาบาล ระบุ มาตรการเพิ่มหรือไม่ ยึดตัวเลขผู้ป่วย “บิ๊กตู่” เชียร์เพจอีเจี๊ยบฯ เตือนคนห้ามโพสต์โกหกเรื่องโควิด 1 เม.ย. เมื่อวันที่ 31 มี.ค. เวลา 11.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงว่า วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ประชุม ครม.โดยใช้ระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เป็นครั้งที่ 2 ตรงนี้ทำให้เห็นภาพว่าท่านเองปรับเปลี่ยนวิธีการ สร้างระยะห่างทางบุคคล ทำเนียบฯที่มีคนจำนวนมาก ตอนนี้ต้องปรับให้เข้ากับสถานการณ์ รัฐมนตรีต่างๆ ก็ไปอยู่ประจำตามกระทรวงที่ตั้ง การปรับเปลี่ยนนี้ถือเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ นายกฯยังขอบคุณประชาชนที่สร้างปรากฏการณ์ปรบมือให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ สธ.ทั่วประเทศ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก นายกฯต้องขอบคุณกำลังใจจากคนไทย ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่ายิ่ง ท่านมีความซาบซึ้งใจ และส่งกำลังใจบุคลาการทางแพทย์และพยาบาล ซึ่งตอนนี้ทำงานหนักมากๆ เพื่อประชาชน จึงให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ทุกข้อมูล ทุกข้อความ ท่านให้ความสำคัญ และนำมาสู่มาตรการที่จะไปสู่การจัดอุปกรณ์ทางการแพทย์ และนำส่งมอบถึงมือบุคลากรทางแพทย์กับประชาชนในเร็ววันนี้ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อทั่วโลกมียอดรวม 784,381 ราย ส่วนผู้ติดเชื้อในประเทศไทย มีผู้ป่วยเพิ่ม 127 ราย กลุ่มใหญ่ 62 ราย มาจากสนามมวย สถานบันเทิง สัมผัสผู้ใกล้ชิด และผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ ส่วนอีก 49 ราย เป็นคนไทยที่เดินทางกลับจากกต่างประเทศ และคนต่างชาติเดินทางมาจากต่างประเทศ โดยมีกลุ่มอาชีพเสี่ยง รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 3 ราย ซึ่งเกี่ยวโยงกับสัมผัสผู้ป่วย ซึ่ง สธ.จะหามาตรการป้องกันส่วนนี้ และอีก 16 คน รอสอบสวนโรค ส่วนยอดผู้ป่วยสะสม 1,651 ราย กระจายใน 61 จังหวัด เสียชีวิตเพิ่ม 1 คน เป็นผู้ป่วยชาย อายุ 48 ปี เป็นนักดนตรีทำงานใน กทม. มีโรคเบาหวาน และมะเร็ง เริ่มป่วยตั้งแต่ 20 มี.ค. มีอาการไอ มีไข้ หลังกลับจาก กทม.ไปต่างจังหวัด โดยมีอาการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนระบบหายใจล้มเหลว รวมยอดผู้เสียชีวิต 10 ราย อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้ป่วยใน กทม.และนนทบุรี ยังเป็นตัวเลขที่สูงอยู่ 869 ราย ภาคตะวันออกเฉียง 77 ราย ภาคเหนือ 55 ราย ภาคกลาง 172 ราย ภาคใต้ 206 ราย นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า หลังจากประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 7 วัน หากร่วมมือดี ตัวเลขติดเชื้อใหม่ควรจะลดลง สำหรับ 3 วันนี้ที่ลดลงต่อเนื่อง นายกฯพอใจในระดับนึง แต่ไม่นิ่งนอนใจ ยังไม่สามารถไว้วางใจสถานการณ์ทั้งหมดได้ ยังต้องติดตามตัวเลขอย่างใกล้ชิด และสั่งให้ปลัด สธ.ติดตามตัวเลขอย่างใกล้ชิด และมารายงานสม่ำเสมอ การปรับเปลี่ยนมาตรการอะไรจะเป็นไปตามข้อมูลของ สธ. ถ้าประชาชนให้ความร่วมมือ ตัวเลขลดลง จะไม่เพิ่มมาตรการ แต่ถ้าตัวเลขเพิ่มขึ้นมาตรการก็ต้องเข้มขึ้นเพื่อคุมให้เป็นศูนย์ให้หมด อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ขอร้องให้งดเว้นไม่ให้มีการร่วมสังสรรค์หรือทำกิจกรรมบันเทิงทั้งสิ้น สำหรับการขอความร่วมมือถ่ายทอดสดมวย แข่งเรือเจ็ตสกี และกองถ่ายละคร เป็นการขอความร่วมมือและหาวิธีการลดความเสี่ยง ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งผู้ว่าฯกทม. ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค. ย้ำว่าเป็นการขอความร่วมมือเพื่อลดความเสี่ยง แต่ถ้าท่านยังทำอยู่ถือว่ามีความเสี่ยง นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับข้อกังวลเรื่องการใช้จ่ายงบกลางที่นำมาแก้ไขปัญหาโควิด -19 นั้น นายกฯให้ความสำคัญมาก โดยการจัดสรรงบกลางจะเป็นการเพิ่มค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งค่าเสี่ยงภัย ค่าล่วงเวลา และการจัดสรรอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดย สธ.ได้รับไปดำเนินการในการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ และเตรียมโรงพยาบาลสนาม นอกจากนี้ นายกฯยังได้ชื่นชมเพจ อีเจี๊ยบเลียบด่วน ที่ออกมาโพสต์เตือนล่วงหน้าว่า วันที่ 1 เม.ย.เป็นวัน April Fool's Day หรือวันโกหก ซึ่งเป็นวัฒนธรรมของฝรั่ง แต่ของไทยอย่ามาโกหกในเรื่องที่เกี่ยวกับโควิด -19 เช่น โพสต์ว่าตัวเองติดเชื้อ ตัวเองป่วยอยู่ ซึ่งจะมีความผิด โทษจำคุก 5 ปี ปรับ 100,000 บาท ส่วนกระแสข่าวว่าจะมีการชัตดาวน์หรือล็อคดาวน์ กทม.นั้น ยืนยันว่าเรายังใช้เฉพาะบางจุดตามประกาศเดิม ยังไม่มีข้อสั่งการเพิ่มเติมจากนายกฯ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับบริษัทเอกชนที่ยังให้ลูกจ้าง พนักงาน ยังมาทำงานตามปกติ ทั้งที่บางงานสามารถทำที่บ้านได้นั้น ขอให้ประเมินว่าการนำคนมารวมกันกับการกระจายงานให้ไปทำอันไหนมีความเสี่ยงกว่ากัน เชื่อว่าผู้บริหารคงเข้าใจตรงนี้ และพิจารณาได้ว่าทำแบบไหนจะมีผลเสียมากกว่ากัน คงไม่เหนือบ่ากว่าแรงที่จะให้ทำงานที่บ้านหรือทำงานเหลื่อมเวลา ส่วนที่มีข่าวออกมาว่าเชื้อในอิตาลีรุนแรงกว่าจีนนั้น ตอนนี้ยังเป็นเพียงความเห็นของนักวิชาการ ซึ่งต้องพิสูจน์ โดยดูตัวเลขสะสม แต่สำหรับการป้องกันเราทำเหมือนกันหมด