เอ่ยถึง “รัสเซีย” ประเทศเจ้าของฉายา “พญาหมี” หนึ่งในมหาอำนาจชาติพี่เบิ้มใหญ่ คู่ปรับมหาอำนาจเหล่าชาติตะวันตก ที่นำโดยสหรัฐอเมริกา ก็ต้องบอกว่า ผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศแห่งนั้น เห็นจะไม่มีใครเกิน “วลาดิเมียร์ ปูติน” ประธานาธิบดีรัสเซียคนปัจจุบัน มิหนำซ้ำ ถ้าถอยหลังไปในครั้งอดีต เปรียบเทียบกับประธานาธิบดีของรัสเซียคนอื่นๆ แบบลากยาวไปในยุคของสหภาพโซเวียตรัสเซีย ผู้สันทัดกรณีหลายคนก็ชี้อีกด้วยว่า ก็ยังยากที่จะหาประธานาธิบดีในแดนหมีแห่งนั้น มาเทียบเทียม “วลาดิเมียร์ ปูติน” ถึงขนาดที่ตัวของนายปูตินก่อนหน้านั้น ก็ยังเคยเปรียบเทียบตัวเขาเอง กับ “ซาร์ปีเตอร์มหาราช” ในยุค “จักรวรรดิรัสเซีย” เมื่อหลายร้อยปีก่อนกันเลยทีเดียว ยิ่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ “สภาดูมา” เปรียบได้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของรัสเซีย มีมติอย่างท่วมท้นถึง 383 เสียงจากจำนวนทั้งสิ้น 450 เสียง เปิดไฟเขียวให้นายปูติน สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ อันจะส่งผลให้เขาสามารถนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีใน “ทำเนียบเครมลิน” กรุงมอสโก ได้แบบตราบนานเท่านาน เท่าที่เขาต้องการกันเลยทีเดียว ก็แสดงให้เห็นว่า “ปูติน” ยิ่งใหญ่เพียงใดในแดนพญาหมี ทว่า อำนาจความยิ่งใหญ่ที่ว่า ดูเหมือนว่ากำลังจะถูกทายท้าเข้าให้เสียแล้ว ไม่ใช่จากนักการเมืองคนใด แต่เป็นเชื้อโรค นาม “โควิด -19” หรือ “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019” ที่กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก รวมถึงที่รัสเซียด้วย นั่นเอง โดยสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ในรัสเซีย ก็กำลังเป็นที่จับตาถึงพลานุภาพของประธานาธิบดีปูตินว่า จะจัดการแก้ไข ควบคุม มิให้เชื้อโรคได้ “ไปต่อ” คือ ลุกลามในหมู่ประชาชนชาวหมีได้อย่างไรต่อไป? ปรากฏว่า ประธานาธิบดีปูติน สั่งการด้วยความเฉียบขาด ทั้งต่อหน่วยงานสาธารณสุข หรือแม้กระทั่งฝ่ายความมั่นคง คือ ตำรวจ ทหาร ก็ล้วนต่างตบเท้าเข้าสู่สมรภูมิต่อสู้กับโควิด -19 ในครั้งนี้ด้วย โดยบรรดาเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงข้างต้น ออกลาดตระเวนตรวจตราต้องท้องที่ในเมืองต่างๆ นอกเหนือจากกรุงมอสโก เมืองหลวงของประเทศแล้ว สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุข เพื่อทั้งตรวจตราประชาชน ทั้งวัดอุณหภูมิของร่างกายพลเมือง ตามจุดต่างๆ รวมถึงการจับกุมต่อกลุ่มบุคคลผู้ต้องสงสัยว่าจะติดเชื้อไวรัสมรณะที่หลบหนีออกจากที่พักสำหรับการกักกันตนเองเป็นเวลา 14 วัน เป็นต้น นอกจากนี้ ใช้กำลังพลฝ่ายความั่นคงที่เป็นมนุษย์ตัวเป็นๆ ออกปฏิบัติการแล้ว ทางการรัสเซียของผู้นำปูติน ยังได้ใช้เทคโนโลยีอันล้ำสมัย เช่น กล้องซีซีทีวี อุปกรณ์ตรวจจับเพื่อพิสูจน์เอกลักษณ์ของบุคคล มาช่วยสนับสนุนในปฏิบัติการของบรรดาเจ้าหน้าที่ฯ อีกต่างหากด้วย ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า รัสเซียใช้กล้องสำหรับตรวจจับเหล่านี้ มากกว่า 170,000 ตัว และมีสัญญาณท่าทีว่า จะเพิ่มอีกนับหมื่นตัวเป็นอย่างน้อย เพื่อให้ครอบคลุมแบบแทบทุกตารานิ้วกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะที่กรุงมอสโก เมืองหลวงที่มีประชาชนพำนักอาศัยเป็นจำนวนมากที่สุดของประเทศ ตามฉากสถานการณ์และบรรยากาศในรัสเซียข้างต้น บรรดานักวิเคราะห์จากฝั่งตะวันตกก็กระทบกระเทียบเปรียบเปรยว่า ไม่ผิดอะไรกับสไตล์ของ “บิ๊กบราเธอร์ (Big Brother)” ที่ทางการรัสเซีย กระทำกับประชาชนพลเมืองของพวกเขากันเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะตำหนิวิจารณ์กันไปอย่างไร แต่ทางการรัสเซีย ออกมาระบุว่า ด้วยรูปแบบการเฝ้าจับตาในลักษณะบิ๊ก บราเธอร์ เช่นนี้ ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ก็สามารถจับกุมผู้ที่ฝ่าฝืนการกักตัวเพื่อรอดูอาการว่าจะติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ได้หลายร้อยคน ก็จะส่งตัวไปดำเนินคดีทั้งปรับทั้งจำ แถมมิหนำซ้ำยังโต้ตอบกลับคุยโวลั่นอีกด้วยว่า เพราะทางการรัสเซียเอาจริงเอาจังเยี่ยงนี้ จึงส่งผลให้สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในรัสเซีย น่าวิตกกังวลน้อยกว่าประเทศอื่นๆ แม้กระทั่งเปรียบเทียบกับ “ลักเซมเบิร์ก” ซึ่งมีประชากรเพียง 6.13 แสนคน น้อยกว่ารัสเซียที่มีประชากร 146 ล้านคน ปรากฏว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด -19 ในลักเซมเบิร์ก ก็มีจำนวนมากกว่ารัสเซีย คือ 1,831 ราย เสียชีวิต 18 ราย ในขณะที่รัสเซีย มีผู้ติดเชื้อ 1,534 ราย และเสียชีวิตเพียง 8 รายเท่านั้น