ไม่มีอะไรในกอไผ่ กับการที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม. ในฐานะ ผอ. ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) CoViD-19 ไม่ได้ตั้ง “บิ๊กแดง” พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ. ทบ. มาคุมฝ่ายความมั่นคง ใน ศอฉ. แต่ตั้ง “บิ๊กกบ” พล.อ. พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นกรรมการ ศอฉ. และ เป็นหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง หรือ ศปม. มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภท การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ตาม คำสั่ง “ศอฉ.CoViD-19” ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งนี้ เพราะ พล.อ. พรพิพัฒน์ ในฐานะ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้บังคับบัญชา ของ ผบ.เหล่าทัพ ทั้ง บก เรือ อากาศ และรวมทั้ง ตำรวจในด้านยุทธการอยู่แล้ว ต่อให้ พล.อ. อภิรัชต์ เป็น น้องรัก ยังไง ก็ไม่อาจ ตั้งให้เป็น หัวหน้าทีมฝ่ายความมั่นคงได้ เพราะ ผบ.ทบ. คุมแต่ ทบ. เท่านั้น จะไปสั่งการ ทหารเรือ ทหารอากาศ และ ตำรวจเองก็คงไม่เหมาะ แม้ว่า ผบ. เหล่าทัพ บางคน จะเป็นเพื่อนร่วมรุ่น เตรียมทหาร 20 ของ พล.อ. อภิรัชต์ ก็ตาม การตั้ง พล.อ. พรพิพัฒน์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด จึงเป็นไปตามสายการบังคับบัญชา มากที่สุด เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต้องหวาดหวั่นใดๆ เพราะ ตนเอง นั่งเป็น ประธาน ศอฉ. คุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ของทุกกระทรวง และ เป็น รมว. กลาโหม คุมทหาร คุมกองทัพ อยู่แล้ว หาใช่ว่า เพราะ กลัวกระแสข่าวลือ ก่อนหน้านี้ เรื่องการปฏิวัติรัฐประหาร เพราะในสถานการณ์ โรคระบาด เช่นนี้ ทหาร ก็คงไม่กล้า ปฏิวัติ เพราะจะดูแลรับผิดชอบ ไหวหรือไม่ หากแต่ ไม่มีชื่อ พล.อ. อภิรัชต์ และ ผบ.เหล่าทัพ อยู่ในกรรมการ ศอฉ.. แต่มี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้งนี้เพราะ ผบ.ทบ., ผบ.ทร., ผบ.ทอ. ก็อยู่ใต้การบังคับบัญชา สั่งการของ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ให้ความสำคัญกับ ตำรวจโดยให้เป็นกำลังหลัก ในการดูแลสถานการณ์ เมื่อประกาศ ใช้ พรก.ฉุกเฉิน แม้จะให้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็น หัวหน้า ศปม. คุมทั้ง ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ ฝ่ายปกครอง แต่ก็ไม่ได้ใช้กลไกทหาร ทั้งหมดในการดำเนินการ แต่นายกฯ ให้ ใช้กำลังตำรวจ เป็นหลัก เพราะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายอยู่แล้ว ขณะที่ทหาร ได้รับการแต่งตั้งเพิ่มเติม ให้เป็น ผู้ช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมาย โดยทหาร ก็จะเป็นกำลังเสริมเท่านั้น ทั้งนี้ ด้านการใช้กำลัง ฝ่ายความมั่นคง ที่มี ตำรวจ อส. และ กอ.รมน. และ 3 เหล่าทัพนั้น ได้เตรียมการใช้กำลัง ไว้ 3 ขั้น โดยขั้น ที่ 1 – ใช้กำลังตำรวจ และ กำลังพลเรือน อส. มหาดไทย เป็นหลัก ในการบังคับใช้ ก.ม. และดูแล ตามคำสั่ง ศอฉ. ในกรอบ กอ.รมน.จังหวัด โดยให้ รอง ผอ.รมน.ฝ่ายทหาร ในแต่ละจังหวัด ประสานสั่งการ ขั้นที่ 2 จะใช้กำลังสารวัตรทหาร ของ มณฑลทหารบก (มทบ.) ในแต่ละจังหวัด เป็นเจ้าหน้าที่ ผช.เจ้าพนักงานตามกฎหมาย และ ขั้นที่ 3 ที่ต้องบังคับใช้ ก.ม. อย่างเข้มข้น เช่น เคอร์ฟิว ปิดเมือง ปิดประเทศ ทหารจะต้องออกไปเสริมกำลังตำรวจ โดย จัดเป็นกองร้อยช่วยเหลือประชาชน โดยใช้กำลัง ของ มทบ. 11 ,พล.ร. 9 , พล.ร.11 และ หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก (นปอ.) มาเสริมแทน โดยแบ่งโซนในกทม. แทน พล.1 รอ.-พล.ร.2 รอ. -พล.ม.2 รอ.เนื่องจาก มีการปรับโครงสร้างใหม่ โดยใช้ กำลังสารวัตรทหาร จาก พัน สห.11 ของ มทบ.11 เป็นกำลังหลัก ส่วน กองทัพเรือ และ กองทัพอากาศ เตรียมพร้อมสนับสนุน ภารกิจ ศอฉ. ดูแลพื้นที่ กรุงเทพฯในแถบที่ตั้งของหน่วย และฝั่งธนบุรี และพื้นที่ดอนเมือง พล.อ. พรพิพัฒน์ หัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง ระบุว่า จุดตรวจคัดกรองฯ ที่ตั้งขึ้น 359 จุด ทั่วประเทศ นั้น จะไม่มีทหาร ยกเว้น 7 จุด ในกทม. ที่จะมี สารวัตรทหาร ไปร่วมด้วย ทั้งนี้ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต้องการให้ มีภาพทหารเกลื่อนเมือง จะทำให้ ผู้คน ย้อนรำลึกไปถึง เหตุการณ์จลาจล หรือ รัฐประหาร ที่ผ่านมา ไม่ใช่เพราะ กลัวการปฏิวัติรัฐประหาร จึงไม่ได้ให้ทหารออกมา ยกเว้น ในขั้นที่ 3 เมื่อสถานการณ์รุนแรง คุมไม่อยู่ ต้อง เคอร์ฟิว ปิดประเทศ ปิดเมือง พล.อ.พรพิพัฒน์ จึงรับภาระหนัก และ ออกมาประกาศ ขอร้อง ขอวิงวอน ความร่วมมือ ให้ ทุกคน ล็อกดาวน์ตัวเอง อยู่บ้าน ให้มากที่สุด ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเอง ไม่เช่นนั้น จะนำไปสู่ การประกาศเคอร์ฟิว ทั้งกลางวัน กลางคืน ปิดเมือง ปิดประเทศ โดยที่ ทบ. เริ่มนำร่องไปก่อน เพราะ พล.อ. อภิรัชต์ สั่งเคอร์ฟิว ทหาร ในส่วนทบ. แล้ว ตั้งแต่ 25 มี.ค. 2563 ห้ามออกจากค่าย หลัง 3 ทุ่ม และ ห้าม ออกนอก กทม. และ ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด เพื่อลดการเคลื่อนย้าย แม้แต่การห้าม พลทหาร ลากลับบ้าน แต่ในคราวนี้ พล.อ. พรพิพัฒน์ ถือเป็น ผู้รับผิดชอบหลัก และถือเป็น งานสำคัญ ส่งท้าย ก่อนจะเกษียณราชการ 30 ก.ย. นี้ พร้อมๆกับ ผบ.เหล่าทัพ ทั้ง 3 คน และ ผบ.ตร. จึงไม่แปลกที่ งานนี้ พล.อ. พรพิพัฒน์ จะให้ “บิ๊กแก้ว” พล.อ. เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เสนาธิการทหาร ที่คาดว่า จะเป็น ผบ.ทหารสูงสุด คนต่อไป มาเป็นทีมงาน เพราะไม่มีใครหยั่งรู้ว่า สถานการณ์ CoViD-19 จะไปจบเมื่อใด และหาก ก.ย. แล้ว ยังไม่ดีขึ้น ยังตัองใช้ พรก.ฉุกเฉิน ยาวนาน 3-6 เดือน หรือนานกว่านั้น จนถึงเวลาโยกย้าย เกษียณ เปลี่ยน ตัว ผบ.ทหารสูงสุด เมื่อนั้น พล.อ.เฉลิมพล ก็จะต้อง มาเป็น ผบ.ทหารสูงสุด และ เป็น ผบ.ศปม. ต่อจาก พล.อ. พรพิพัฒน์ แต่ทุกคนก็คาดหวังว่า ประเทศไทย คงจะไม่ตัอง ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยาวนาน ขนาดนั้น เพราะเบื้องต้น ประกาศใช้ตั้งแต่ 26 มีนาคม - 30 เมษายน 2563 โดยจะพิจารณา ต่ออายุ คราวละ 1 เดือน ขึ้นอยู่สถานการณ์ แม้ว่า ในตอนแรก “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ พี่ใหญ่ ระบุว่า อยากให้ ประกาศใช้พรก.ฉุกเฉิน คราวเดียว 3 เดือนรวด เลย ทว่า นายกฯและ ครม. เห็นชอบให้ประกาศ ทีละ 1 เดือน เพื่อไม่ให้ประชาชน ตึงเครียดเกินไป งานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ คุมทุกอย่าง เองเบ็ดเสร็จ เพราะไม่อาจไว้วางใจใครได้ หรือ ไม่อาจโยนภาระให้ใคร แม้คราวนี้ เดิมจะจับตากันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะตั้ง พล.อ.ประวิตร เป็น ผอ.ศอฉ. หรือไม่ เพราะตามกฎหมาย นายกฯ สามารถ ตั้งรองนายกฯ ดูแลแทนได้ แต่ พล.อ.ประวิตร ก็อายุมากแล้ว 76 ปี สุขภาพไม่แข็งแรง แถมอยู่ในข่าย ที่ห้ามออกนอกบ้าน เพราะเป็นวัยเสี่ยง พล.อ.ประยุทธ์ จึงคุมทุกอย่างเองหมด เพิ่อหวังว่า จะ เอาอยู่ ในเวลาที่สั้นที่สุด หาก พล.อ.ประยุทธ์ นำพาประเทศ ผ่านวิกฤติ ครั้งนี้ ไปได้แบบเสียชีวิต ไม่มากนัก และประเทศ ไม่สะบักสะบอม เกินไป ก็จะเป็น เครื่องการันตี ถึงความเป็นผู้นำ ในยามวิกฤติ ได้เป็นอย่างดี และจะได้ไปต่อ บนถนนสายการเมือง แต่หาก เป็นตรงกันข้าม .... ก็ไม่มีใครรู้ว่า อะไรจะเกิดขึ้น ในท้ายที่สุด