นายสันติ กีระนันทน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า...ความหวังหลังจากมี พรก. ฉุกเฉิน ตั้งแต่เข้าวันใหม่ของวันที่ 26 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา พรก. ฉุกเฉิน มีผลบังคับใช้ไปแล้ว ซึ่งน่าจะสร้างความเชื่อมั่นว่า การต่อสู้กับ COVID-19 จะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น เพราะนายกรัฐมนตรีใช้ความกล้าหาญ (อีกครั้งหนึ่ง) ในการรวมอำนาจการบริหารมาไว้ที่ตัวท่านเอง เพื่อให้เกิด single command (ไม่ใช่ absolute power) สามารถสั่งการทุกอย่างให้มีการดำเนินงานไปในทิศทางเดียวกัน และมีรองนายกรัฐมนตรีแต่ละด้านกำกับดูแลงานสำคัญ โดยมีปลัดกระทรวงสำคัญในงานแต่ละด้าน สามารถสั่งงานผู้ปฏิบัติ (แม้ข้ามกระทรวง) ให้ทำงานสอดประสานกัน เนื่องจากช่วงเวลาประมาณ 2 เดือนเศษ ๆ ที่ผ่านมานั้น เราได้เห็นความไม่เป็นเอกภาพในการต่อสู้กับ COVID-19 ของส่วนราชการต่าง ๆ เราได้เห็นความพยายามในการแย่งกันมีบทบาท หรือที่เรียกว่า "แย่งซีน" กันของหลายคนหลายหน่วยงาน ซึ่งทำให้การต่อสู้กับศึกใหญ่ COVID-19 ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นตัวถ่วงให้บุคลากรสาธารณสุขทำงานยาก แม้ท่านเหล่านั้นจะมีความสามารถเป็นเลิศ ถ้าปล่อยให้เหตุการณ์เป็นอย่างนั้นต่อไป เมืองคงจะแตกในไม่ช้า ผมนั่งคิดดู เห็นว่างานสำคัญ 4 ด้าน ที่จำเป็นในการสู้ศึกครั้งนี้ ได้แก่ ด้านสาธารณสุข ด้านเศรษฐกิจ ด้านความเป็นอยู่ของประชาชน และด้านการสื่อสารข้อความ ... ในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ด้านสาธารณสุข โดยความสามารถของบุคลากรด้านสาธารณสุขของประเทศไทย ทำงานอย่างหนัก ป้องกันเมืองไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ด้านอื่น ๆ นั้น ยังไม่เด่นชัด ต่อเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ด้านเศรษฐกิจที่นำโดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ก็ได้สร้างความหวังให้ผมด้วยการออกมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบต่าง ๆ อย่างค่อนข้างจะครอบคลุม ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้คนลงได้บ้าง (อย่าคิดว่าจะทำให้ทุกคนอยู่ได้อย่างเดิมครับ) และ อ.สมคิด ได้ใช้ charisma ของท่านในการแถลงข้อความที่ชัดเจนใจความว่า ตอนนี้เรื่องสาธารณสุขเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าเอาตัวรอดไปได้แล้ว การพยุงเศรษฐกิจ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็เป็นเรื่องที่เราสามารถจะทำให้สำเร็จต่อไปได้ ... นับเป็น statement ที่เรียกความมั่นใจกลับมาได้อย่างดีเยี่ยมครับ ส่วนงานอีก 2 ด้านที่เหลือ คือ ด้านความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งหนีไม่พ้นเรื่องปากท้องและการป้องกันตัวจากภัย COVID-19 ซึ่งเป็นงานหลักของกระทรวงพาณิชย์ ต้องกราบเรียนตามตรงว่า สอบตกทุกเรื่อง ตัวอย่างที่เห็นก่อนหน้านี้คือ เรื่องหน้ากากอนามัยที่กระทรวงพาณิชย์ตอบคำถามของการหายไปอย่างไร้ร่องรอยไม่ได้ ผมคิดว่าประชาชนยอมรับได้ว่า demand ที่มากกว่า supply ย่อมทำให้ของขาดตลาดไป แต่การที่มีร่องรอยของความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แล้วจนถึงวันนี้ เป็นเวลาเดือนเศษ ๆ แล้ว ยังอธิบายปรากฎการณ์นั้นไม่ได้ ยังลากคอใครที่ทำร้ายประชาชนด้วยความเห็นแก่ตัวออกมาประจานไม่ได้ ซ้ำมาถึงตอนนี้ อาหารจำเป็นอย่างไข่ไก่ก็เริ่มขาดตลาด และราคาแพงขึ้นไปอีกแล้ว ล้วนแล้วแต่แสดงถึงความล้มเหลวทางด้านนี้โดยสิ้นเชิงครับ ด้านการสื่อสารของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ถ้ามีเกรดที่ต่ำกว่า F ผมคิดว่าประชาชนก็คงจะให้เกรดนั้น เพราะนอกจากจะไม่สามารถสื่อความที่คนทั่วไปจะเข้าใจว่าอะไรเป็นไปอย่างไรแล้ว ยังสร้างความสับสน จากการไร้ความสามารถของการสื่อข้อความ และความพยายาม "เอาหน้า" หรือ "แย่งซีน" กันอย่างไม่รู้จักเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานในขณะนี้ เสียงเรียกร้องของประชาชนว่าควรจะทำอย่างไรกับงานด้านนี้ ผมไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง หลังจาก พรก. ฉุกเฉิน มีผลบังคับใช้ไปแล้ว ผมเชื่อว่างาน 2 ด้านที่ยังบกพร่องอยู่อย่างยอมรับไม่ได้ คงได้รับการปรับปรุง เพื่อสร้างความเชื่อมั่น หวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะเห็นคนที่ต้องถูกกระชากหน้ากากออกมาจากการทำให้หน้ากากอนามัยหายไปจากตลาดอย่างเห็นแก่ตัวที่สุด หวังว่าจะเห็นการเอาจริงเอาจังกับการจัดการสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อไม่ให้ประชาชนถูกซ้ำเติมเดือดร้อนขึ้นไปอีก หวังว่าจะเห็นการสื่อข้อความด้วยทีมงานที่มีประสิทธิภาพ สร้างความเข้าใจในสถานการณ์ได้อย่างดี มาตรการอย่าง social distancing ที่ด้านสาธารณสุขขอให้ประชาชนทำอย่างเข้มข้น เพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคร้าย ก็ต้องถูกปฏิบัติอย่าเข้มข้ม เพื่อให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ พรก. ฉุกเฉิน นี้ จากเสียงเล็ก ๆ ของประชาชนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่อยู่ในความเสี่ยงของสมรภูมิสู้รบกับภัยที่มองไม่เห็นตัวข้าศึก จากความหวังเล็ก ๆ ของประชาชนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งที่เชื่อว่า ประชาชนคนอื่นก็มีความหวังไม่ต่างกันครับ