หายดีกลับบ้านได้เพิ่มอีก 7 ขณะจากสนามมวยเริ่มเบาลง สถานบันเทิงยังไม่พบเพิ่มอีก โดยกลุ่มใหญ่เป็นผู้ป่วยรายใหม่ 92 ยังรอยืนยันผลซ้ำ อาการยังหนักอีก 7 ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ วอนคนเดินทางกลับตจว.ต้องรายงานตัวสาธารณสุขจังหวัด หรือผู้นำชุมชน แล้วกักตัวเอง 14 วันเคร่งครัด ระบุไทยยังอยู่ในช่วงเวลาทอง ที่มี 2 ทางให้เลือกเป็นทางสองแพร่ง ขึ้นอยู่กับประชาชนคนไทย หากไม่ปฏิบัติตนตามคำแนะนำภาครัฐ มีสิทธิตามรอยซ้ำยุโรป แต่หากร่วมมือช่วยกัน ทิศทางไทยจะไปแบบญี่ปุ่น ไต้หวันที่สถานการณ์ดีขึ้น เมื่อวันที่ 23 มี.ค.63 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข แถลงสถานการณ์คืบหน้าสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 โดยพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดเพิ่ม 122 ราย และวันนี้หายกลับบ้านได้ 7ราย รวมรักษาหายกลับบ้านแล้ว 52 ราย กำลังรักษาอยู่ 668 ราย เสียชีวิต 1 ราย ยอดสะสม 721 ราย อาการหนัก 7 ราย สำหรับผู้ป่วยรายใหม่ 122 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่ม 1 ผู้ที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยหรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยก่อนหน้า คือ กลุ่มสนามมวย 4 ราย เป็นพี่เลี้ยงนักมวย ผู้ชม พบผู้ป่วย ที่นนทบุรี นครปฐม อุบลราชธานี , กลุ่มสัมผัสใกล้ชิด 16 ราย พบเป็นผู้ติดเชื้อตามงานสังสรรค์ ทำงานกับชาวต่างชาติ ประชุมและร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน พนักงานนวด นักเรียน ญาติผู้ใหญ่ กลุ่มที่ 2 ผู้ติดเชื้อรายใหม่ คือ เป็นผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ เป็นชาวต่างชาติ 4 ราย และชาวไทย 2 ราย โดยกลับจากปอยเปต และประเทศเยอรมนี และทำงานที่เกี่ยวข้องและใกล้ชิดกับชาวต่างชาติ และทำงานในที่แออัด 6 ราย เป็นพนักงานผับ บาร์ ดีเจ พนักงานขับรถส่งชาวต่างชาติ อยู่ใน จ.ภูเก็ต ร้อยเอ็ด กระบี่ กทม.สุราษฎร์ธานี กลุ่มที่ 3 ผู้ติดเชื้อที่รอสอบสวนโรคเพิ่มเติม 92 ราย สำหรับผู้ป่วยอาการหนักมี 7 ราย จาก สถาบันบำราศนราดูร โรงพยาบาลเพชรบูรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์  โรงพยาบาลศิริราช  และโรงพยาบาลเอกชน  ทุกรายต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและดูแลอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในต่างจังหวัด เนื่องจากมาตรการปิดสถานที่ของกทม.และปริมณฑลทำให้มีประชาชนเดินทางกลับภูมิลำเนา ซึ่งขอให้ผู้ที่เดินทางกลับต่างจังหวัดทุกคนไปรายงานตัวกับเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ สาธารณสุขจังหวัด หรือผู้นำท้องถิ่นในทุกระดับทั้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน หรืออสม. และเฝ้าระวังกักตัวเองไม่ออกไปทำกิจกรรมทางสังคมเป็นเวลา 14 วันเพื่อเฝ้าดูอาการ ยังไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อทันที เพราะที่ผ่านมาจากการตรวจเชื้อ 3 หมื่นราย ซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง 1 หมื่นราย พบว่ามีผู้ติดเชื้อเพียง 4% เท่านั้น ส่วนอีก 2 หมื่นรายไม่พบเชื้อ และจากการปรับวิธีการตรวจเชื้อโดยยืนยันจากผลห้องปฏิบัติการเพียงแห่งเดียว จากเดิมที่จะต้องรอผลห้องปฏิบัติการ 2 แห่งยืนยันตรงกัน ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เมื่อวานนี้พุ่งขึ้นไปเป็น 188 ราย แต่วันนี้ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่กลับมาอยู่ในระดับปกติแล้ว นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขกล่าวถึงกรณีมีคำถามว่า จากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ซึ่งที่ผ่านมาหากประเทศใดผู้ป่วยเกินหลัก 1,000 แล้วจะเพิ่มอย่างรวดเร็ว แล้วสถานการณ์ประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น ณ วันนี้ไทยยังอยู่ที่ 721 ราย นั่นหมายความว่า ไทยยังอยู่ในช่วงเวลาทอง และเป็นทางสองแพร่ง ที่หากเราไม่มีวินัยเคร่งครัดในการปฏิบัติตน ออกไปนอกบ้านไม่ระมัดระวังตน ไทยจะทะลุหลักพันไปเหมือนยุโรป และมึความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตเพิ่มขึ้้น แต่เรายังอยู่ในจุดที่เลือกได้ ซึ่ง ขึ้นอยู่ในมือของประชาชนเท่านั้น ว่าจะปฏิบัติตามมาตรการที่รัฐออกมาหรือไม่ ซึ่งหากไม่มีการปฏิบัติตาม ทางภาครัฐอาจต้องมีการล็อคดาวน์ ซึ่งถ้าร่วมมือกัน สถานการณ์เราจะไปแบบญี่ปุ่น ไต้หวัน รวมทั้งกลุ่มคนที่กำลังเดินทางออกต่างจังหวัด ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขรับว่าตกใจเหมือนกัน แต่เข้าใจว่าไม่มีทางเลือก จึงได้ทำหนังสือด่วนไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งความเสี่ยงนั้นจะเกิดขึ้นตั้งแต่ขึ้นรถโดยสารสาธารณะ แนะต้องป้องกันระมัดระวังตัวเอง และเมื่อไปถึงปลายทางให้ดูแลตัวเอง ขอให้กักตัวเองที่บ้าน