“ปชป.”ยอมยกธงขาว “เปิดสภาวิสามัญ” ถกปมแก้วิกฤติ “โควิด-19” ระบาดทั่วประเทศวอนทุกฝ่าย หนุนรัฐบาล-ขอให้นักการเมือง “ละเว้นแสดงความเห็นทางการเมือง” จุดชนวนความขัดแย้ง หวั่นซ้ำเติมประเทศ “เพื่อไทย”พร้อมร่วมมือรบ.ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ติงรัฐอย่าเล่นการเมือง สะกิดอย่าทิ้งปชช.ภาคเหนืออยู่กับความเสี่ยง ขณะที่“ภท.”หนุน'เรียนออนไลน์-ทำงานที่บ้านช่วยคลายวิกฤตโควิด-19 เมื่อวันที่ 22 มี.ค.63 นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงสถาน การณ์บ้านเมือง หลังเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19ไปทั่วประเทศ ว่า สถานการณ์ของบ้านเมืองเข้าสู่ขั้นวิกฤติแล้ว เพราะในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้มีการล็อกดาวน์ ประกาศปิดห้างสรรพสินค้า และสถานที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมากทั้งหมดนับว่าสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ได้เกินกว่าที่จะมานำเสนอให้มีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีหลายฝ่ายพยายามเสนอทางออก ซึ่งตนและส.ส.พรรคประชาธิปัตย์บางส่วนเคยนำเสนอมาก่อนแล้ว รวมทั้งอดีตประธานสภาฯ 6 คน แต่ไม่มีการตอบรับจากฝ่ายรัฐบาล ฉะนั้นข้อเสนอให้รัฐบาลใช้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 165 เปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อเปิดอภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว ส่วนข้อเสนอให้สมาชิกรัฐสภาลงชื่อเปิดสมัยประชุมรัฐสภาวิสามัญจำนวนสองในสาม ตามมาตรา 123 ของพรรคร่วมฝ่ายค้านก็ไม่สามารถที่จะหาเสียงสนับสนุนได้ครบ 248 คน จึงเห็นว่า เป็นการเสียเวลาที่จะรณรงค์หรือเสนอความเห็นในเรื่องการขอเปิดรัฐสภาสมัยวิสามัญอีกต่อไป ด้าน นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า พรรคฝ่ายค้านยืนยันว่าในสถานการณ์วิกฤติประเทศ พรรคฝ่ายค้าน ไม่เล่นการเมือง พร้อมที่จะร่วมมือกับรัฐบาลทำงาน เพื่อประชาชน เราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน มีอะไรให้พรรคฝ่ายค้านช่วยก็บอกมา และพร้อมให้ความร่วมมือ และอยากให้พรรคร่วมรัฐบาลอย่าเล่นการเมืองหรือมองข้อเสนอของพรรคฝ่ายค้านเป็นเรื่องการเมือง เพราะทุกคนล้วนหวังดีกับประเทศ ส่วน พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการนำระบบ การศึกษาผ่านระบบออน ไลน์ มาใช้ในช่วงวิกฤติไวรัสโควิด-19 และการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ว่า พรรคภูมิใจไทยได้ดำเนินตามนโยบายที่ได้เสนอไว้ให้กับประชาชน ทำงาน และเรียนที่บ้าน เพราะสภาพสิ่งแวดล้อม หรือโรคติดต่อต่างๆ เป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้น ดังนั้นนโยบายพรรคภูมิใจไทย สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกจริงๆ ซึ่งเป็นอย่างที่เราคาดการณ์ไว้ เพราะฉนั้นต้องมีการขับเคลื่อนเรื่อง Work at home (Work @home)(WAH) หรือ Work from home (WFH) เพื่อลดการเดินทาง ลดการเผาผลาญพลังงาน ประหยัดพลังงาน อยู่ที่บ้าน ไม่ต้องมาที่ทำงานทุกวัน หรือออฟฟิศ สำหรับข้าราชการ ภาครัฐ ในบางตำแหน่งก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปทุกวัน เพราะในวันนี้สามารถที่จะสแกนใบหน้า หรือลายนิ้วมือ ผ่านทางสมาร์ทโฟนได้ ทั้งยังสามารถทำ National ID ซึ่งสามารถที่จะบ่งบอกถึงตัวบุคคลได้อีกด้วย “ ผมมองว่าภาคเอกชนจะเป็นตัวนำในเรื่องของ Work at home (Work @home)(WAH) หรือ Work from home (WFH) โดยภาครัฐ จะต้องกำกับดูแล หรือให้การสนับสนุนส่งเสริม บริษัทไหน ที่มีพนักงานจำนวนเท่าไหร่ หรือ ขนาดบริษัท สามารถลดภาษีได้ ถ้าคุณไม่ต้องทำให้พนักงานต้องเดินทางมาทำงานที่ออฟฟิศ อย่างตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ ไม่จำเป็นที่จะต้องนั่งที่สำนักงาน หรือออฟฟิศทุกวัน สามารถที่จะทำโปรแกรมที่บ้านได้ ให้ส่งเป็นระบบคลาวด์ แลกเปลี่ยนการเชื่อมต่อกัน ซึ่งในสมัยนี้เป็นการใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงหมดแล้ว” โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวต่อว่า ส่วนข้าราชการหลายตำแหน่งสลับกันทำงานที่บ้าน อาจจะมีบางตำแหน่งที่จะต้องมาทำงานที่ออฟฟิศ และต้องแก้กฎกระทรวง ระเบียบต่างๆ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่วันนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าการประกาศโรคไวรัสโควิด-19 บอกว่าให้ข้าราชการ สามารถที่จะจัดระบบใหม่ ซึ่งนี้ก็คือจุดเริ่มต้นที่ดีแล้ว ต่อไปเป็นการขับเคลื่อนในเชิงนโยบายระยะยาว เพราะฉะนั้นระบบราชการจะเปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ