“บิ๊กตู่”เรียก“มท.-สธ.-ผู้ว่าฯ”ถกด่วนรับมือ “โควิด-19” ระบาดทั่วประเทศ พร้อม ชูกำปั้น บอก “กำลังทำ” หลังถูกถามวันนี้จะมีมาตรการเพิ่ม รับมือ“ไวรัสมรณะ”หรือไม่ “มหาดไทย”ชงปิดด่านถาวรทั่วประเทศ ขณะที่ “อนุทิน” ขอปชช.มีจิตสำนึกกักตัวเอง14วัน แจงไร้อำนาจประกาศเคอร์ฟิว ส่วน“สธ.”เผยวันเดียว พบผู้ป่วยใหม่ 188 ราย เป็นกลุ่มหนุ่มสาวใช้ชีวิตปกติ รับห่วงมาตรการ “กทม.”สั่งปิด“ห้าง-สถานบริการ” ทั่วกรุง ทำแรงงานแห่กลับต่างจังหวัด ยิ่งแพร่เชื้อ พร้อมทำหนังสือ ด่วนที่สุดถึง “ผู้ว่าฯ” ทั่วประเทศวางมาตรการป้องกัน ขณะที่เหยื่อป่วยโควิด-19 ทั่วโลกพุ่งทะลุ 3 แสนราย “อิตาลี”สยองวันเดียวตายเกือบ 800 ศพ ส่วน “หญิงไทย” ในมะกันตกเป็นเหยื่อไวรัสมรณะเสียชีวิต เมื่อวันที่ 22 มี.ค.63 นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ร่วมแถลงสถานการณ์ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19ในประเทศไทยว่า ล่าสุดพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มขึ้น 188 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 599 ราย ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 553 ราย อาการหนัก 7 ราย ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ และอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เสียชีวิต 1ราย อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่พบในพื้นที่กทม.เป็นคนวัยหนุ่มสาว ที่มีอาการเล็กน้อย จึงยังคงออกไปใช้ชีวิตตามปกติ “จากการที่กทม.ออกประกาศปิดสถานที่บางแห่ง ทำให้ประชาชนบางส่วน เดินทางกลับภูมิลำเนา ทางกรมควบคุมโรคจึงส่งหนังสือด่วนถึงผู้ว่าฯทั่วประเทศ ให้จัดทำแผน ค้นหา และเฝ้าระวัง ในระดับอำเภอ หมู่บ้าน รวมทั้ง ส่งหนังสือไปยังกรมการขนส่งทางบก ให้ทำความสะอาดรถบริการขนส่งสาธารณะ พร้อมเก็บรายชื่อ และเบอร์ติดต่อผู้โดยสารทุกคน หากพบมีไข้ให้งดเดินทาง จึงขอความร่วมมือประชาชนทุกคน ว่าอย่าเดินทางกลับภูมิลำเนา แม้ว่าจะมีการหยุดงาน เนื่องจากอาจแพร่เชื้อสู่คนในต่างจังหวัดได้ ขณะที่คนในต่างจังหวัดก็ไม่ควรเดินทางข้ามจังหวัด เพราะอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ” ขณะที่ ความเคลื่อนไหวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม ในฐานะประธานศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) พบว่า นายกฯได้เดินทางเข้าทำเนียบฯเมื่อเวลา 10.00 น. และได้ขึ้นห้องทำงาน บนตึกไทยคู่ฟ้า กระทั่งเวลา 10.30 น. ได้เรียก นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เข้ามาหารือ และมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ได้ขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าเพื่อเข้าร่วมหารือในเวลา 11.15 น. โดยคาดว่าจะมีการหารือถึงมาตราการ การแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาด เชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงมาตรการต่างๆ ที่จะมีการประกาศเพิ่มเติม หลัง กทม.และ 5 จังหวัดปริมณฑล ได้มีการสั่งปิดสถานที่เสี่ยงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จากนั้น เวลา 14.00 น. นายกฯ ได้ลงจากตึกไทยคู่ฟ้า โดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดๆ เพียงแต่ทักทายผู้สื่อข่าวที่สังเกตการณ์ห่างออกไปประมาณ 50 เมตร ด้วยการโบกมือ ก่อนที่จะชูกำปั้นมือขวา เป็นการส่งสัญลักษณ์สู้ ๆ ก่อนที่นายกฯ จะขึ้นรถเดินทางกลับออกไปทันที และยังได้ลดกระจกลงทักทายกับผู้สื่อข่าวอีก เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีการเพิ่มมาตรการอะไรในการรับมือโควิด-19 ในวันนี้หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังได้ชูกำปั้น พร้อมกับระบุเพียงสั้นๆ ว่า “กำลังทำ” ก่อนที่ขบวนรถจะเคลื่อนออกจากทำเนียบฯ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมร่วมกับนายกฯ ทางกระทรวงมหาดไทยได้เสนอเรื่องปิดด่านชายแดนทั้งหมดทั่วประเทศ เดิมอนุโลมให้เปิดด่านชายแดนถาวร จุดผ่อนปรนการค้า จังหวัดละ 1 ด่าน แต่ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค.63 จะให้ปิดทั้งหมด 18 ด่าน 17 จังหวัด เฉพาะด่านทางบกที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทยไม่ให้คนเข้าออก ใช้ส่งสินค้าได้เท่านั้น จะให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการให้หยุดชั่วคราว ส่วนแต่ละด่านจะปิดถึงเมื่อไรนั้น แต่ละพื้นที่จะไม่เหมือนกัน โดยจะให้ผู้ว่าฯ ประสานประเทศเพื่อนบ้านที่มีด่านทางบก ได้แก่ ลาว พม่า กัมพูชา มาเลยเซีย ในการปิดด่าน ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลได้กำหนด 6 มาตรการเพื่อต่อสู้กับไวรัสโควิด-19อย่างเต็มที่ และพร้อมออกมาตรการเพิ่ม เพื่อป้องกันสุขภาพของคนไทย ดังนั้นตนอยากให้มั่นใจว่าประเทศไทยมีวิชาการ มีบุคลากร มีทีมแพทย์ที่พร้อมสกัดกั้น หยุดการระบาดที่รุนแรงได้ เมื่อถามว่า ยอดผู้ติดเชื้อล่าสุดเพิ่มขึ้นจำนวนมากกว่า 188 คน รวมแล้ว 599 คน จะมีมาตรการใดออกมาอีกหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า มาตรการขณะนี้ถือว่าเข้มข้นมาก เหลืออย่างเดียวคือการร่วมมือจากประชาชน รวมถึงการเว้นระยะห่างในสังคม จึงขอความร่วมมือแค่ 3 อาทิตย์ เพื่อลดการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 ส่วนการประกาศเคอร์ฟิวหรือไม่นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า กรมควบคุมโรคไม่มีอำนาจที่จะออกเป็นกฎหมายควบคุมห้ามประชาชนไม่ให้ออกไปไหน เพราะกฎหมายดังกล่าวเป็นอำนาจของฝ่ายความมั่นคง ดังนั้นประชาชนต้องมีจิตสำนึกต่อส่วนรวมและส่วนตน ลดการเดินทาง ลดการพบปะสังสรรค์ และอย่านำตัวเองไปในพื้นที่เสี่ยง รวมถึงการใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ นายอนุทิน ยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลประกาศให้ทำงานอยู่ที่บ้าน 14 วันนั้น รัฐบาลมีนโยบายให้ทำงานอยู่ที่บ้าน และไม่ควรเดินทางออกต่างจังหวัด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 และรัฐบาลกำลังออกมาตรการที่คุมเข้มสำหรับประชาชนที่กำลังทยอยเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม ที่ด่านพรมแดนคลองลึก และด่าน ตม.อรัญประเทศ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระ แก้ว ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าได้มีแรงงานชาวกัมพูชาที่ทำงานในประเทศไทยจำนวนมากจากทั่วสารทิศ กว่า 1,000 คน หอบหิ้วสัมภาระ แห่เดินทางกลับประเทศกัมพูชา ผ่านด่าน ตม.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว จนล้นทะลัก หลังมีคำสั่งให้ระงับการเดินทางเข้า-ออก ตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค.63 ถึงวันที่ 5 เม.ย. 63 เป็นเวลา 14 วัน วันเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังลุกลามอย่างรุนแรงจนบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขแสดงความวิตก โดยล่าสุดได้เกิดการแพร่ระบาดไปแล้ว 188 ประเทศทั่วโลก ส่งผลให้มีผู้ป่วยที่ติดเชื้อมีจำนวนสะสมเพิ่มขึ้นเป็น 308,463 ราย โดยที่สหรัฐฯ มีผู้ป่วยที่ติดเชื้อรายใหม่มากที่สุดในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ถึง 2,671 ราย ส่วนผู้ป่วยที่เสียชีวิตในการแพร่ระบาดทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 13,069 ราย ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยที่เสียชีวิตในอิตาลีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เพียงวันเดียวถึง 733 ราย ทำให้อิตาลีมียอดผู้ป่วยที่เสียชีวิตรวมแล้ว 4,825 ราย ซึ่งถือเป็นประเทศที่เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 มากที่สุดในโลก ณ เวลานี้ ท่ามกลางความวิตกกังวลว่า จะมีผู้ป่วยเสียชีวิตในอิตาลีเพิ่มขึ้นอีกเป็นอย่างมากเนื่องจากประเทศดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นที่ภาคเหนือเช่นแคว้นลอมบาร์ดี กำลังประสบกับการขาดแคลนเตียงคนไข้ และเครื่องช่วยหายใจ ตลอดจนเวชภัณฑ์อื่นๆ ในการรักษาพยาบาล รายงานข่าวแจ้งว่า จากสถานการณ์ความรุนแรงของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในอิตาลีข้างต้น ส่งผลให้นายจูเซปเป คอนเต นายกรัฐมนตรี ประกาศเพิ่มมาตรการปิดเมืองให้เข้มงวดยิ่งขึ้น หลังจากที่เคยมีคำสั่งปิดประเทศไปแล้วเมื่อเกือบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยคำสั่งครั้งนี้กำหนดให้ปิดโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมดในประเทศ ยกเว้นโรงงานที่ผลิตสิ่งของจำเป็นสำหรับยังชีพ ขณะที่ สถานการณ์แพร่ระบาดในญี่ปุ่น ได้กลับมาสร้างความวิตกอีกครั้ง เมื่อมีรายงานว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ในศูนย์การแพทย์โออิตะ จ.โออิตะ จำนวนถึง 14 ราย ทำให้เป็นที่กังวลว่า ศูนย์การแพทย์อาจจะกลายเป็นจุดต้องสงสัยว่าจะเป็นการติดเชื้อแบบกลุ่มก้อน หรือคลัสเตอร์ โดยที่ญี่ปุ่นมีผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนสะสมอยู่ที่ 1,055 ราย และผู้ป่วยเสียชีวิตจำนวน 36 ราย ทางด้าน สถานการณ์แพร่ระบาดในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีผู้ป่วยติดเชื้อจำนวนสะสมอยู่ที่ 1,286 ราย และผู้ป่วยเสียชีวิตจำนวน 7 ราย ล่าสุด นายสก็อตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาตรการให้ประชาชนยกเลิกแผนการเดินทางในประเทศโดยไม่จำเป็น เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยการขนส่งสิ่งของจำเป็นสำหรับยังชีพ ตลอดจนการเดินทางที่จำเป็นอื่นๆ เช่น เพื่อไปรับการรักษาพยาบาล ยังคงสามารถทำได้ ขณะเดียวกัน นายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐฯ ว่า มีสตรีชาวไทยสูงอายุ เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโควิด-19 เมื่อวันที่ 21 มี.ค.63 โดยสตรีคนดังกล่าวถือ 2 สัญชาติ และพำนักอยู่ในสหรัฐฯ เป็นเวลาหลายสิบปี ทั้งนี้ นายธานี ทองภักดี เอกอัครราชทูต ได้แสดงความเสียใจแก่ญาติผู้เสียชีวิตที่อยู่ในสหรัฐฯ และจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือตามความเหมาะสมและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป