ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ 1/2560 ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 ที่ผ่านมา ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบให้ขยายเวลาโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพาราภายใต้แนวทางยางพาราทั้งระบบ วงเงินสินเชื่อ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวได้สิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา แต่เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรบางส่วนยังไม่สามารถคืนเงินให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ทั้งหมด จึงจำเป็นต้องขยายระยะเวลาออกไปจนถึง 31 มีนาคม 2563 จะได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ได้อย่างถูกต้อง และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด 2.โครงการสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรชาวสวนยาง ซึ่งมีการช่วยเหลือไปแล้วแบ่งเป็น เจ้าของสวนยาง จำนวน 711,839 ครัวเรือน และ คนกรีดยาง จำนวน 675,790 ครัวเรือน ยังมีเกษตรกรที่เข้าข่ายได้รับสิทธิ์ยังตกค้างอยู่อีกประมาณ 11,460 ครัวเรือน ที่ประชุมจึงอนุมัติให้มีการขยายระยะเวลาโครงการเวลาออกไปอีก 90 วัน นับถัดจากวันที่ ครม. มีมติเห็นชอบ 3.โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตร เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และ โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง ที่ประชุมมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาไปถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เพื่อให้กระบวนการดำเนินงานทั้งหมดเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ โครงการทั้งหมดจะถูกนำเข้าในที่ประชุม ครม. เพื่อผ่านความเห็นชอบอีกครั้ง ดร.ธีธัช สุขสะอาด ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย ผู้ว่าการ กยท. กล่าวว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้อนุมัติโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง ซึ่งกลุ่มเป้าหมายในโครงการนี้เป็นกลุ่มผู้ประกอบการแปรรูปน้ำยางข้น เนื่องจากอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยในปี 2558 ประเทศไทยผลิตยางพาราได้ประมาณ 4.47 ล้านตัน มูลค่าส่งออกรวมประมาณ 4 แสนล้านบาทเศษ เป็นรายได้ที่ส่งผลต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศไทย ซึ่งสถานการณ์การผลิตและการใช้ยางพาราของโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในสภาวะที่เศรษฐกิจโลกเผชิญปัญหานั้น พบว่าปริมาณการผลิต และปริมาณการใช้ยางพาราไม่สมดุลกัน เกิดความผันผวนของราคายางตั้งแต่ปลายปี 2554 จนถึงปัจจุบัน ดังนั้นเพื่อให้การแก้ไขปัญหาราคายาง และเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมลดภาระงบประมาณของรัฐบาล โดยอาศัยความร่วมมือจากผู้ประกอบกิจการยางให้มีการการดูดซับยางพาราออกจากระบบนำมาเก็บสต็อกของผู้ประกอบการในลักษณะหมุนเวียน (moving stock) เป็นการลดปริมาณยางในตลาด ซึ่งจะส่งผลให้ราคายางในตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีเสถียรภาพมากขึ้นอันจะเป็นผลดีต่อรายได้ของเกษตรกรชาวสวนยางที่เพิ่มขึ้น “สำหรับโครงการสนับสนุนสินเชื่อ เป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง โดยรัฐบาลจะสนับสนุนด้วยการชดเชยดอกเบี้ยในอัตราไม่เกินร้อยละ 3 กับผู้เข้าร่วมโครงการฯ หรือคิดเป็นเงินช่วยเหลือจำนวนไม่เกิน 300 ล้านบาท จากวงเงินกู้ 1 หมื่นล้านบาท ให้กับผู้ประกอบการที่กู้เงินธนาคารใดๆ ก็ตาม เพื่อเป็นการผลักดันราคายางให้สูงขึ้น” ดร.ธีธัช กล่าว ดร.ธีธัช กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นปัจจัยพื้นฐานของยางธรรมชาติในตลาดโลก ปี 2560 พบว่า ปัจจุบันปริมาณการใช้ยางของโลกมีอยู่ประมาณ 12.7 ล้านตัน ซึ่งสูงกว่าปริมาณสต๊อกยางในตลาดโลกในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 มีอยู่ประมาณ 2.7 ล้านตัน และเมื่อเปรียบเทียบราคายางในขณะนี้กับปีที่แล้วพบว่าสูงขึ้น 100% โดยราคายางแผ่นรมควัน ชั้น 3 ในเดือนมกราคมปีที่แล้ว อยู่ที่กิโลกรัมละ 30-40 บาท แต่ในวันนี้ราคายางอยู่ที่ กิโลกรัมละ 70 กว่าบาท ทั้งนี้ ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคายางมีความแกว่งตัว ซึ่งมีสาเหตุจากการเก็งกำไรล่วงหน้าทั้งที่ปัจจัยพื้นฐานยังคงเป็นบวก จึงขอฝากให้ติดตามข้อมูลและสถานการณ์ยางพาราอย่างใกล้ชิด