คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย ไวรัสโคโรนา(โควิด-19) ถูกตรวจพบครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อเดือนธันวาคม 2019 เรื่อยมาจนกระทั่งในวันที่ 30 มกราคม 2020 ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกต้องออกมาประกาศแถลงการณ์ว่า “เชื้อไวรัสที่กำลังระบาดในขณะนี้ นับเป็นกรณีฉุกเฉินที่ร้ายแรงทำอันตรายต่อมวลมนุษยชาติ” โดยขณะนี้แพร่ระบาดไปแล้วทั่วทุกมุมโลก กรณีที่โรคระบาดนี้แพร่เข้าไปในสหรัฐฯจนมีผลทำให้คนอเมริกันต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก นับเป็นการสูญเสียอย่างมหาศาลสำหรับประเทศของเขา และจากการรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์เมื่อวันอังคารนี้ว่า ขณะนี้มีคนอเมริกันเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งร้อยราย โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และจำนวนสองในสามของผู้ที่เสียชีวิตอยู่ในรัฐวอชิงตัน นิวยอร์ก และ แคลิฟอร์เนีย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นรัฐของศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจและศูนย์กลางแห่งอำนาจ และขณะนี้ไวรัสโควิด-19 นี้ได้ขยายตัวแพร่กระจายไปที่รัฐอิลลินอยส์ อินดีแอนา ฟลอริดาและเวอร์จิเนีย เรียบร้อยแล้ว!!! และจากการรายงานของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ฉบับเดียวกันนี้ได้ออกมาเปิดเผยอีกว่าผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยที่จะติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้ มีถึง 5,600 ราย และยังมีตัวเลขของผู้ที่อยู่ในข่ายสุ่มเสี่ยงอีกหลายร้อยคนและหากบุคคลกลุ่มนี้ติดเชื้อจริงๆ ก็อาจจะเป็นผู้แพร่เชื้อไวรัสนี้ให้แพร่กระจายไปสู่ผู้อื่นต่อๆไปอีกด้วย นอกจากไวรัสโควิด-19 จะทำให้คนอเมริกันเสียชีวิตเป็นจำนวนมากแล้ว ก็ยังได้สร้างผลกระทบในทุกๆภาคส่วน โดยรัฐบาลของสหรัฐฯได้ตั้งโต๊ะประชุมเพื่อวางแผนยุทธศาสตร์สู้รบกับภัยร้ายศัตรูที่มองไม่เห็นตัว โดยออกมาประกาศสถานการณ์โรคระบาดครั้งนี้ว่า “เป็นวาระแห่งชาติ” อย่างไรก็ตาม “มร.สตีเวน มนูซิน” รัฐมนตรีการคลังดำริที่จะเสนองบประมาณต่อสภาคองเครสให้เซ็นอนุมัติยอดวงเงิน 850 พันล้านเหรียญ เพื่อนำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจแบบครบวงจร โดยวุฒิสมาชิกบางคนได้ออกมาเสริมเพิ่มเติมว่า “งบประมาณเพียงแค่นี้ อาจจะไม่เพียงพอ สภาคองเกรสควรจะอนุมัติงบอย่างน้อยหนึ่งล้านล้านเหรียญ” ซึ่งพวกเขาได้แจกแจงเหตุผลต่อไปว่า “หากสภาคองเกรสไม่ยอมทุ่มเงินจำนวนดังกล่าว ก็อาจจะมีผลทำให้อุตสาหกรรมหลักๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมทางด้านสายการบิน อุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยว และวิถีชีวิตของอเมริกันชนต้องได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงแน่นอน” สำหรับอุตสาหกรรมด้านการโรงแรมเพียงแค่อย่างเดียวนั้น บรรดาสหภาพการโรงแรมได้รวมตัวออกมายื่นของบสนับสนุนอย่างน้อยเป็นยอดเงินกว่า 250 พันล้านเหรียญ โดยอาจจะต้องใช้งบ 150 พันล้านเหรียญ เข้าไปช่วยเหลือบรรดาเจ้าของโรงแรมเหล่านั้นนำไปใช้จ่ายค่าดอกเบี้ยธนาคาร และจ่ายให้กับพนักงาน ส่วนตลาดหลักทรัพย์ที่มีการสูญเสียอย่างมหาศาลในครั้งนี้ก็ย่อมจะสร้างความสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย เพราะสถาบันการเงินถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ต่อตรงไปยังหัวใจของประเทศเลยทีเดียว และหากขาดสภาพคล่องแก้ไม่สำเร็จก็ย่อมจะนำไปสู่สภาพถดถอยอ่อนแอเหมือนดั่งคนไร้เรี่ยวแรง!!! อนึ่งในช่วงสี่สิบปีที่ผ่านมาครั้งที่ผมพำนักอาศัยอยู่ในอเมริกาทั้งในสมัยเรียนหนังสือระดับมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายๆแห่ง จนกระทั่งเข้าไปทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่ในแวดวงธนาคารและการเงินยาวนานกว่าสามสิบปี ผมได้พบเห็นและได้สัมผัสถึงวิธีการแก้ปัญหาวิกฤติต่างๆของประธานาธิบดีสหรัฐฯเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจถดถอยในยุคสมัยของ “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา” “ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน” และ “ประธานาธิบดีบิล คลินตัน” ซึ่งล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จนทำให้ประธานาธิบดีทั้งสามท่านนี้ได้รับการจารึกว่าพวกเขาคือ “ประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ของสหรัฐฯ” ในอันดับต้นๆเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น เมื่อปี 2008-2012 ช่วงวิกฤติถดถอยในสมัยของประธานาธิบดีบารัก โอบามานั้น ธนาคารกลางสหรัฐฯปิดตัวลงไปมากถึง 465 แห่ง โดยเริ่มต้นเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2008 ที่ธนาคารวอชิงตัน มูช่วล ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่อันดับต้นของสหรัฐอเมริกาต้องปิดกิจการลงและทำให้ธนาคารอื่นๆต่างล้มระเนระนาดตามมาเป็นลำดับ มีผลทำให้มีผู้ว่างงานนั่งตบยุงอยู่กับบ้านหลายพันคนรวมทั้งผมด้วย แต่ท้ายที่สุดประธานาธิบดีโอบามาสามารถล็อบบี้ต่อสภาคองเกรสอนุมัติงบประมาณ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้เป็นยอดวงเงินถึง 787 พันล้านเหรียญ ซึ่งทำให้สหรัฐฯสามารถผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจถดถอยในครั้งนั้นไปได้ และแน่นอนว่าครั้งนี้สภาคองเกรสก็คงจะอนุมัติงบประมาณที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ร้องขอไปอย่างแน่นอน แล้วอะไรคือ ปัจจัยหลักที่ทำให้สหรัฐอเมริกาสามารถผ่านพ้นวิกฤติมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า? ปัจจัยหลักๆที่สหรัฐฯสามารถแก้ไขปัญหาหนักๆได้แทบทุกเรื่อง สืบเนื่องมาจากสหรัฐมีระบบการจัดการอย่างเป็นระเบียบว่า สิ่งไหนสมควรจะจัดการเป็นอันดับแรกๆ อีกทั้งความเจริญได้แพร่กระจายไปทุกๆรัฐอย่างไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก โดยแต่ละรัฐสามารถมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจได้เองที่มีรัฐบาลกลางเป็นฝ่ายสนับสนุน และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทันทีที่มหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆของสหรัฐฯถูกสั่งปิดทั่วประเทศ ปรากฏว่าสถาบันการศึกษาทุกแห่งของเขาสามารถปรับตัวได้ในทันท่วงทีโดยสถาบันการศึกษาต่างๆจัดระบบวางแผนให้บรรดาคณาจารย์สอนนักศึกษาผ่านทางออนไลน์ ทั้งนี้สถาบันการศึกษาของสหรัฐฯใช้ระบบการสอนทางออนไลน์ติดต่อกันมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยการสอนหนังสือออนไลน์ถือเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถทำผลกำไรได้เป็นมหาศาล และถือเป็นข่าวดีที่ขณะนี้สถาบันการศึกษาของไทยทั้งระดับมัธยมและระดับมหาวิทยาลัยกำลังตื่นตัวเริ่มวางแผนการเรียนการสอนทางออนไลน์กันแล้ว!!! เมื่อวิเคราะห์แล้วจะเห็นได้ว่าผลสำเร็จในการแก้ไขวิกฤติและปัญหาต่างๆของสหรัฐอเมริกามิได้เป็นเพราะเหตุบังเอิญหรือด้วยความฟลุคอย่างใด แต่ทั้งหมดทั้งมวลเนื่องมาจากเขามีการวางแผนในการจัดอันดับความสำคัญได้อย่างดีเยี่ยม และในช่วงวิกฤติครั้งใหญ่ที่สหรัฐฯกำลังประสบนี้ปรากฏว่า “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” สามารถแสดงสปิริตมีความเหมาะสมในการเป็นผู้นำและรู้จักประนีประนอนสมควรที่จะได้รับความชื่นชมและดอกไม้ช่อใหญ่!!! ส่วนการแข่งขันเลือกเฟ้นตัวแทนของพรรคเดโมแครตเพื่อเข้าไปแข่งขันกับประธานาธิบดีทรัมป์นั้น จะเห็นได้ว่าขณะนี้ข่าวสร่างซาไม่ค่อยบูม เนื่องมาจากการเร่งแก้ไขปัญหาไวรัสโควิด-19 โดยวันอังคารที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมานี้ มีการแข่งขันในรัฐแอริโซนา ฟลอริดา อิลลินอยส์ ซึ่งปรากฏว่าการแข่งขันไม่ค่อยตื่นเต้นเหมือนเมื่อหกสัปดาห์ก่อน แต่อย่างไรก็ตามผลปรากฏออกมาว่า อดีตรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้รับชัยชนะอย่างล้นหลามไปทั้งสามรัฐ โดยได้รับคะแนนรวมแล้ว 1,147 คะแนน ส่วนวุฒิสมาชิกเบอร์นี แซนเดอร์ส ได้รับคะแนนเพียง 861 คะแนน และการที่โจ ไบเดน จะได้รับ 1991 คะแนนตามที่พรรคกำหนดเอาไว้ก็คงไม่ยากเท่าใดนัก แต่ปรากฏว่าขณะนี้เขากลับเรียกร้องให้บรรดานักการเมืองภายในพรรคเดโมแครตร่วมผนึกพลังสร้างความสามัคคีเพื่อประเทศชาติกันก่อน เท่ากับว่าโอกาสของวุฒิสมาชิกแซนเดอร์สได้ไปต่อคงจะริบหรี่ลง แต่อยู่ที่ว่าเมื่อใดที่เขาจะถอดใจยอมแพ้เปิดหมวกอำลาและหันไปประกาศสนับสนุนโจ ไบเดนสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในพรรคสร้างความพร้อมลงสนามไปแข่งขันกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 นี้ กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นสงครามเชื้อไวรัสโควิด-19 ศัตรูตัวอันตรายที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แต่เนื่องจากภาครัฐของสหรัฐอเมริกามีระเบียบจัดระบบได้เป็นอย่างดีรวมทั้งสภาคองเกรสและคนอเมริกันก็พร้อมที่จะสนับสนุนวงการแพทย์อย่างเต็มที่ เพื่อต้องการที่จะค้นพบยาใช้ในการรักษาไวรัสร้ายตัวนี้ ดังนั้นโอกาสที่จะเอาชนะก็ยังคงไม่หมดความหวังลง แต่ในทางกลับกันผมขอส่งกำลังใจให้พี่น้องชาวไทย เพื่อให้วิกฤติครั้งนี้ผ่านพ้นไปได้ในเร็วๆวัน ชาวไทย สู้ สู้ ละครับ