NER แจงโควิด-19 ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมธุรกิจ เพียงชะลอการส่งสินค้า ย้ำรายได้ไตรมาส 1 เป็นไปตามแผน ออเดอร์ยาวถึงไตรมาส 3 คาดออเดอร์เพิ่มหากสถานการณ์โรคระบาดดีขึ้น ด้านโรงไฟฟ้าชุมชนบริษัทพร้อมเข้าประมูล หากรัฐเริ่มโครงการ พร้อมขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่ม นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทได้ประเมินสถานการณ์ หลังจากที่เกิดโรคระบาดโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาพบว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว มีเพียงการชะลอการส่งสินค้าไปยังประเทศจีน ที่มีความล่าช้าไปประมาณ 2 สัปดาห์ เนื่องจากโรงงานที่ประเทศจีนมีการหยุดทำงาน โดยหลังจากนี้บริษัทจะทยอยส่งสินค้าตามออเดอร์ไปยังลูกค้าตามปกติ สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1 นั้น บริษัทคาดว่าจะเป็นไปตามแผนที่ตั้งเป้าไว้ โดยไม่มีลูกค้ายกเลิกค่ำสั่งซื้อ รวมทั้งออเดอร์ปัจจุบันของบริษัทมีต่อเนื่องไปจนถึงช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ซึ่งบริษัทจะทยอยส่งมอบสินค้าอย่างต่อเนื่อง และบริษัทคาดว่าหากสถานการณ์โรคระบาดเริ่มดีขึ้น ลูกค้าจะมีคำสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่อง โดยเฉพาะลูกค้าหลักที่ประเทศจีน ที่มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 75 ของสัดส่วนการส่งออกทั้งหมดของบริษัทที่ร้อยละ 45 ขณะที่สัดส่วนลูกค้าภายในประเทศ ร้อยละ 55 ยังคงมีความต้องการใช้ยางอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างไร ทั้งนี้แม้จะมีการประเมินผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว บริษัทยังมั่นใจว่าเป้าหมายการเติบโตในปี 2563 ยังคงไว้ที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 จากการปรับปรุงการขบวนการผลิตและการเปิดดำเนินการของโรงงานใหม่ในช่วงปลายเดือนมี.ค.63 ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 176,000 ตัน จนมีกำลังการผลิตทั้งสิ้น 460,000 ตันต่อปี และเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 2 ตลอดจนบริษัทยังเพิ่มผลิตภัณฑ์แผ่นปูรองนอนสัตว์สำหรับฟาร์มเลี้ยงวัว ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง โดยจะเริ่มดำเนินการผลิตและทดสอบสินค้าในเดือนเม.ย.63 ส่วนความคืบหน้าในการประมูลโรงไฟฟ้าชุมชนจากชีวภาพ ปัจจุบันบริษัทรอความชัดเจนจากภาครัฐ หากรัฐเริ่มโครงการ บริษัทก็พร้อมจะเข้าประมูลได้ทันที เนื่องจากบริษัทมีการผลิตและใช้งานไฟฟ้าในระบบไบโอแก๊ซ ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขในการเข้าประมูลอยู่แล้ว เบื้องต้นคาดหวังว่าจะมีส่วนเข้าไปร่วมในโครงการ 8 เมกะวัตต์ ในกลุ่มควิกวิน(Quick win) นอกจากนี้บริษัทยังมีความเป้าหมายที่จะทำสัญญาซื้อขายไฟฟ้า(PPA) จำนวน 35-40 MW ภายใน 2 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3-4 พันล้าน และหากเป็นไปตามแผนจะส่งผลให้ยอดขายจากธุรกิจไฟฟ้าอยู่ที่ 10% ต่อยอดขายยางทุก 2,000 ล้านบาท โดยเป็นมาร์จิ้นของธุรกิจไฟฟ้าประมาณ 20%