"ชาญกฤช" ชี้หุ้นดิ่งไม่เฉพาะประเทศไทย แต่เกิดขึ้นทุกภูมิภาคทั่วโลก เหตุเพราะนักลงทุนผวาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทุบเศรษฐกิจทั่วโลก แต่มีข่าวดีหลังประเทศจีนประกาศเริ่มควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว พร้อมให้ความมั่นใจพื้นฐานเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่งจะทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวเร็ว แนะเป็นโอกาสเก็บหุ้นเพื่อลงทุนระยะยาว ย้ำกองทุนพยุงหุ้นชัดเจนจันทร์นี้ นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติงานกระทรวงการคลัง) กล่าวถึงกรณีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหยุดการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราว (Circuit Breaker) ถึง 2 วันติดต่อกัน ในวันพฤหัสฯ และวันศุกร์ที่ผ่านมา หลังดัชนีหลักทรัพย์เกิดความผันผวนอย่างหนัก โดยเป็นผลกระทบทางจิตวิทยาของนักลงทุนที่ตื่นตระหนกต่อข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งลุกลามและอาจกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม โฆษกคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (NHC) ของประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศต้นกำเนิดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ออกมาประกาศว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศจีนผ่านพ้นจุดสูงสุดไปแล้ว จำนวนผู้ป่วยรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคในภาพรวมอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะจำนวนผู้ป่วยใหม่ในอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ศูนย์กลางการระบาดของโรคปรับลดสู่ระดับเลขหลักเดียวมีรายงานผู้ป่วยใหม่เพียง 8 รายในวันพุธ (11 มี.ค.)และไม่พบผู้ป่วยใหม่ในเมืองอื่นๆ ของหูเป่ยครบสัปดาห์แล้ว สำหรับประเทศไทย ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) จัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งด้านความมั่นคงด้านสุขภาพเป็นอันดับที่ 6 จากทั้งหมด 195 ประเทศ และเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศเดียวที่ถูกจัดให้อยู่ใน 10 อันดับสูงสุดของโลก มีความพร้อมในการรับมือสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้บัญชาการศูนย์ฯ เป็นการบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมีการยกระดับมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังให้ทันต่อสถานการณ์ ซึ่งจำนวนผู้เสียชีวิต ณ ปัจจุบันมีเพียงรายเดียวเท่านั้น “ขอให้พี่น้องประชาชน ตื่นตัวแต่อย่าตื่นตระหนก ขอให้มั่นใจกับมาตรการรับมือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาล ปัจจุบันท่านนายกรัฐมนตรีบัญชาการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดการบูรณาการทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง การทำงานต้องกระชับ ฉับไว และทันต่อสถานการณ์ ที่สำคัญต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อไม่ทำให้พี่น้องประชาชนเกิดความสับสน” ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับวิกฤติการณ์โรคระบาดมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นโรคซาร์สในปี 2546 ไข้หวัดนกในปี 2549 ไวรัสเมอร์สในปี 2556 จนถึงไข้ซิกาในปี 2559 จากสถิติที่มีการรวบรวมเอาไว้พบว่า โดยภาพรวมไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก ดังนั้นจึงขอให้มองวิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นโอกาสในการเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดี จ่ายปันผลสูง และมีราคาถูกลง เหมาะแก่การสะสมเพื่อลงทุนระยะยาว โดยข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระบุว่า มีหุ้นถึง 448 บริษัทที่มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ สูงกว่าราคาหุ้นขณะนี้ หุ้นที่มีราคาถูกสุดในรอบ 5 ปี มีถึง 231 บริษัท ส่วนหุ้นที่จ่ายปันผลในอัตราร้อยละ 5-7.5 มีจำนวน 43 บริษัท จ่ายปันผลอัตราร้อยละ 7.5-10 จำนวน 17 บริษัท และจ่ายปันผลสูงกว่าร้อยละ 10 จำนวน 6 บริษัท นายชาญกฤช กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการดูแลตลาดทุนนั้น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หามาตรการดูแลตลาดหุ้นในภาวะผันผวนเช่น การขายหุ้นโดยไม่มีในมือ (Short Sell) ต้องหาแนวทางที่จะสั่งห้ามไม่ให้มีการขายชอร์ตหุ้นในช่วงนี้ได้หรือไม่ และการบังคับขายหุ้นที่ซื้อโดยใช้ Margin (Forced Sell) จะผ่อนปรนอย่างไรได้บ้าง ส่วนการจัดตั้งกองทุนสร้างเสถียรภาพตลาดทุน หรือกองทุนพยุงหุ้น ซึ่งในอดีตเมื่อปี 2546 เคยจัดตั้งกองทุนวายุภักดิ์มาแล้ว ปลัดกระทรวงการคลังกำลังหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาแนวทางที่เหมาะสม ทั้งนี้รายละเอียดต่างๆจะชัดเจนมากขึ้นในวันจันทร์นี้