พล.ต.ท.โสภณ พิสุทธิวงษ์ รองผู้ว่าฯกทม. เป็นประธานการประชุมศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรุงเทพมหานคร” หรือ “ศูนย์ข้อมูล COVID–19 กทม.” โดยกล่าวว่า กทม.ได้เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังป้องกันโรคโควิด – 19 ตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โดยประสานความร่วมมือกับสธ. ในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคโควิด – 19 ทั้งข้อมูลข่าวสารและให้ความร่วมมือดำเนินการด้านต่างๆ ตลอดจนส่งต่อผู้ป่วยเข้ารับบริการในโรงพยาบาลสังกัดสำนักการแพทย์ เพื่อให้การดูแลรักษาผู้ป่วยตามแนวทางของ สธ. รวมถึงจัดทำแนวทางคัดกรองเพื่อวินิจฉัยและการดูแลรักษาโรคโควิด – 19 สำหรับแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขของโรงพยาบาลในสังกัดกทม.อย่างถูกต้อง ขณะเดียวกันได้รณรงค์ให้ความรู้ประชาชนในการดูแลป้องกันตนเองจากโรคโควิด – 19 โดยหลีกเลี่ยงอยู่ในสถานที่แออัด ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม หากเลี่ยงไม่ได้ให้สวมใส่หน้ากากอนามัยป้องกัน หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นำมือมาสัมผัส จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น รวมถึงประชาสัมพันธ์แนวทางปฏิบัติ ผ่านเฟซบุ๊กและสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และจัดทำป้ายประชาสัมพันธ์ภายในโรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน สร้างความตระหนัก ลดความตื่นตระหนก และก่อให้เกิดการดูแลตนเองอย่างถูกวิธี หากสงสัยในอาการของโรค สอบถามได้ที่ สายด่วนสุขภาพ สำนักการแพทย์ 1646 บริการตอบปัญหาและให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง หากต้องการพบแพทย์จะต่อไปยังศูนย์บริหารราชการฉับไว ใสสะอาด (Bangkok Fast & Clear : BFC) ของแต่ละโรงพยาบาลในสังกัดกทม.ต่อไป นางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกทม. กล่าวว่า กรุงเทพมหานครโดยสำนักอนามัยได้ประสานงานทำความเข้าใจร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด เกี่ยวกับการส่งต่อกลุ่มเสี่ยงที่ต้องติดตามอาการทุกราย เพื่อให้เจ้าหน้าที่ศูนย์บริการสาธารณสุขของกทม. ทั้ง 68 แห่ง ได้เยี่ยมดูแลเฝ้าระวังอาการผู้ที่เข้าข่ายกักกันอย่างต่อเนื่อง 14 วัน ได้ตามมาตรฐาน ขณะเดียวกันได้สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนและแนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในการควบคุมและติดตามผู้ที่ต้องเฝ้าสังเกตอาการของโรคโควิด – 19 ซึ่งกักตัวอยู่ที่บ้านในเขตพื้นที่กทม. โดยแจกเอกสารเกี่ยวกับ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ให้ผู้เกี่ยวข้องได้ศึกษาข้อมูลและข้อกฎหมายต่างๆ รวมถึงจัดทำเอกสารแนะนำการดูแลตนเองและแนวทางติดตามอาการผู้ป่วยที่กักกันตัวที่บ้าน เพื่อลดความวิตกกังวลของประชาชน พร้อมกันนี้ ได้ให้สำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล ประสานกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ที่จัดทำแอพพลิเคชั่น AOT Airports สำหรับให้ผู้เดินทางเข้าประเทศไทยทุกคนดาวน์โหลดและกรอกเบอร์โทรศัพท์เพื่อใช้ติดตามตัวผู้มีความเสี่ยงกลับมาตรวจและเฝ้าระวังได้ทันท่วงที รวมถึงแอพพลิเคชั่น SydeKick for ThaiFightCOVID สำหรับผู้ที่จำเป็นต้องกักตัวที่บ้านและแรงงานไทยที่กลับจากประเทศเสี่ยง เพื่อใช้ในการติดตาม เฝ้าระวังผ่านระบบ Location Tracking รู้พิกัดกลุ่มเสี่ยง เพื่อดูว่ากทม.สามารถนำมาปรับใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ในพื้นที่กทม.ได้อย่างไรบ้าง รวมทั้งได้กำชับให้สำนักงานเขตทั้ง 50 แห่ง จัดกิจกรรมบิ๊กคลีนนิ่งในพื้นที่ต่างๆ ของสำนักงานเขตอย่างต่อเนื่อง และประสานงานหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในพื้นที่ เพื่อขยายผลบิ๊กคลีนนิ่งโดยเฉพาะสถานประกอบการที่มีประชาชนไปใช้บริการจำนวนมาก นอกจากนี้ ให้สำนักพัฒนาสังคมจัดทำหน้ากากอนามัยแบบผ้าแจกจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ในสังกัดกทม.ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการสัมผัสโรค รวมทั้งให้สำนักพัฒนาสังคม และสำนักงานเขตทุกแห่ง เร่งรัดการสอนตัดเย็บหน้ากากอนามัยแบบผ้าให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคโควิด – 19 ไปสู่สมาชิกในครอบครัว สำหรับผู้ที่ต้องกักกันโรคที่บ้าน 14 วัน ให้ปฏิบัติตามแนวทางกระทรวงสาธารณสุข ดังนี้ 1. ให้หยุดเรียน หยุดงาน ไม่ออกไปนอกที่พักอาศัยไม่เดินทางไปที่ชุมชน หรือที่สาธารณะอย่างน้อย 14 วัน นับจากวันเดินทางมาจากพื้นที่ระบาด 2. รับประทานอาหารแยกจากผู้อื่น โดยใช้ภาชนะ ช้อนส้อม และแก้วน้ำส่วนตัว 3. ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ร่วมกับผู้อื่น 4. ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่อย่างน้อย20 วินาที กรณีไม่มีน้ำและสบู่ให้ลูบมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ความเข้มข้นอย่างน้อย 60% 5. สวมหน้ากากอนามัย และอยู่ห่างจากคนอื่นๆ ในบ้านประมาณ 1-2 เมตร หรืออย่างน้อยหนึ่งช่วงแขน 6. หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดพูดคุยกับบุคคลอื่นในที่พักอาศัยโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ 7. การทิ้งหน้ากากอนามัยใช้วิธี ใส่ถุงพลาสติกและปิดปากถุงให้สนิทก่อนทิ้งลงในถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด และทำความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล์เจลหรือน้ำและสบู่ทันที 8. ปิดปากจมูกด้วยกระดาษทิชชูทุกครั้งที่ไอจามโดยปิดถึงคาง แล้วทิ้งทิชชูลงในถุงพลาสติกและปิดปากถุงให้สนิทก่อนทิ้งหรือ ใช้แขนเสื้อปิดปากจมูกเมื่อไอหรือจาม และ ทำความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล์เจลหรือน้ำและสบู่ทันที 9. ทำความสะอาดบริเวณที่ผู้เดินทางพักเช่น เตียง โต๊ะ บริเวณของใช้รอบๆ ตัว รวมถึงห้องน้ำด้วยน้ำยาฟอกขาว 5% โซเดียม ไฮโปคลอไรท์ (น้ำยาฟอกขาว 1 ส่วนต่อน้ำสะอาด 10 ส่วน) 10. ทำความสะอาดเสื้อผ้าผ้าปูเตียง ผ้าขนหนู ด้วยสบู่หรือผงซักฟอกธรรมดาและน้ำหรือซักผ้าด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิน้ำ 70 – 90 องศาเซลเซียส