นพ.อัษฎางค์ รวยอาจิณ รองอธิบดีและโฆษกกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีที่ช่วงนี้ประชาชนติดตามสถาการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID–19) ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังและกังวลในเรื่องการติดเชื้อดังกล่าว จึงอาจทำให้เกิดปัญหาไม่กล้าเป่าลมหายใจผ่านเครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ตรวจ หรืออาจเป็นข้ออ้างไม่ตรวจเพราะกลัวติดเชื้อ นั้น กรมฯขอให้ข้อมูลเกี่ยวกับการใช้เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ แบบตรวจคัดกรอง และแบบตรวจยืนยันผล ทั้งนี้ แบบตรวจคัดกรอง (screening) เป็นเครื่องที่ใช้ทดสอบปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด โดยวางปากให้ห่างจากปลายกระบอกประมาณ 5-8 เซนติเมตร เพียงแค่มีการพูดคุยกัน แอลกอฮอล์ในลมหายใจก็ลอยเข้าปลายกระบอก ประมาณ 3-5 วินาทีเครื่องก็สามารถตรวจได้แล้ว เครื่องนี้ตรวจได้รวดเร็ว ไม่ต้องลงจากรถ ผลที่แสดงจะบอกได้ว่ามีหรือไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่แสดงเป็นตัวเลข ส่วนแบบที่สอง คือแบบตรวจยืนยันผล (Evidential) เป็นเครื่องที่ใช้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด โดยเป่าลมหายใจเข้าเครื่องตรวจ ผู้ถูกตรวจจะต้องอมหลอดเป่า เพื่อวัดปริมาณแอลกอฮอล์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเปลี่ยนหลอดใหม่ก่อนเป่าทุกครั้ง ผลที่แสดงจะเป็นตัวเลขบอกถึงปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด มีหน่วยเป็นmg/100 ml เช่น 50 mg% แสดงว่าในเลือด 100 มิลลิลิตร มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ 50 มิลลิกรัม จะใช้ตรวจยืนยันผลจากกรณีที่ตรวจคัดกรองแล้วพบว่ามีแอลกอฮอล์ นพ.อัษฎางค์กล่าวว่า กรมควบคุมโรค ขอแนะนำการใช้เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจ ในช่วงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ดังนี้ 1.เจ้าหน้าที่ตำรวจ ควรสวมหน้ากากอนามัย วมถุงมือ และล้างมือบ่อยๆ, ให้ผู้ถูกตรวจฉีกซองของหลอดเป่าเอง เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นหลอดใหม่ ไม่ได้ใช้ซ้ำ, ให้ทำความสะอาดภายนอกตัวเครื่องตรวจด้วยแอลกอฮอล์ 70% ทุกครั้งก่อนและหลังใช้ทุกราย  และ ทิ้งหลอดเป่าที่ใช้แล้วในภาชนะที่ปิดมิดชิด 2.ผู้ถูกตรวจ ควรปฏิบัติคือ ขอฉีกซองบรรจุหลอดเป่าเอง เพื่อความสบายใจ และให้เป่าลมหายใจออกยาวๆ นับ 1-5 ไม่สูดหายใจเข้าระหว่างเป่า ที่ผ่านมา มีการดำเนินงานดังกล่าวตลอดทั้งปี โดยตำรวจจะตั้งด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในผู้ขับขี่ เพื่อป้องกัน ไม่ให้คนเมาไปขับรถ ซึ่งจากการวิเคราะห์ข้อมูลการบาดเจ็บและเสียชีวิตจากการจราจร ช่วง 7 วันเทศกาลปีใหม่ 2563 ของกรมควบคุมโรค พบว่าสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุยังคงเป็นดื่มแล้วขับคิดเป็นร้อยละ 32.68 ลดลงเมื่อเทียบกับปีใหม่ 2562 (ร้อยละ 40.39) และจำนวนอุบัติเหตุที่เกิดจากดื่มแล้วขับลดลงร้อยละ 19.09 ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มข้น ทั้งการตั้งด่านตรวจสกัดผู้ดื่มแล้วขับ และมาตรการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดผู้ขับขี่เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ในกรณีที่เป่าไม่ได้จะถูกส่งไปเจาะเลือดตรวจที่โรงพยาบาล ซึ่งตรวจฟรี โดยเฉพาะช่วงใกล้เทศกาลสงกรานต์นี้ เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากการดื่มแล้วขับ และขอให้ประชาชนมั่นใจในการใช้เครื่องตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดโดยวิธีเป่าลมหายใจดังกล่าว