“กฟผ.”เสนอแผนนำเข้า LNG ล็อตใหม่ ช่วงปี 63-65 ลดต้นทุนเชื้อเพลิงค่าไฟ 1,600 ล้านบาทและลดต้นทุนค่าเอฟที 0.86 สตางค์ต่อหน่วย นายธวัชชัย จักรไพศาล รองผู้ว่าการเชื้อเพลิง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ.ได้เสนอแผนการจัดหา LNG ของ กฟผ.ระหว่างปี 2563-2565 เพื่อรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้าและบริหารจัดการต้นทุนค่าเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติสำหรับโรงไฟฟ้าของ กฟผ.ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกำหนดเป็น 2 แนวทางคือ การจัดซื้อระยะยาว โดยจัดซื้อจาก ปตท.ภายใต้สัญญาหลักซื้อขายก๊าซธรรมชาติ Global DCQ และการจัดซื้อระยะสั้น โดยจัดหา LNG เพิ่มเติมในส่วนที่เกินจากปริมาณตามข้อผูกพันในสัญญากับ ปตท.ซึ่งปัจจุบันคณะกรรมการ กฟผ.ได้มีมติเห็นชอบแนวทางดังกล่าวแล้ว และอยู่ระหว่างการนำเสนอคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน(กบง.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ภายในเดือนมี.ค.63 ทั้งนี้หาก กฟผ.สามารถดำเนินการจัดหา LNG ได้ตามที่คณะกรรมการ กฟผ.เห็นชอบ คาดว่าจะสามารถช่วยลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงปี 2563 ซึ่งเป็นปีแรกของแผนการจัดหา LNG ล็อตใหม่ประมาณ 1,600 ล้านบาท หรือส่งผลให้ต้นทุนค่าเชื้อเพลิงในค่า Ft ลดลงประมาณ 0.86 สตางค์ต่อหน่วย นอกจากนี้การนำเข้า LNG ของ กฟผ. ยังช่วยเสริมความมั่นคงในการจัดหาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติในรูปแบบของ LNG เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันในธุรกิจก๊าซธรรมชาติของประเทศ และพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการค้า LNG ในตลาดเอเชีย (LNG Hub)ต่อไป สำหรับกรณีการจัดหาและนำเข้า LNG แบบตลาดจร (SPOT) ปริมาณไม่เกิน 200,000 ตัน ตามมติ กบง.เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2562 นั้น ปัจจุบัน กฟผ.ได้ดำเนินการนำเข้า LNG ลำเรือแรก พร้อมส่งมอบ 65,000 ตัน เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 28-29 ธ.ค.62 ซึ่งเป็นช่วงที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศต่ำ (Off-Peak) ณ สถานี LNG มาบตาพุด จ.ระยอง และสำหรับการนำเข้า LNG ลำเรือที่ 2 ปริมาณ 65,000 ตัน จะเริ่มดำเนินการในเดือนเม.ย.63 ซึ่งเป็นช่วงที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศสูง (Peak) โดยการนำเข้า LNG กฟผ.นับเป็นความสำเร็จในการทดสอบระบบเปิดให้บุคคลที่สามใช้หรือเชื่อมต่อระบบ (Third Party Access : TPA) เพื่อพัฒนาและปรับปรุงข้อกำหนด หลักเกณฑ์ของ TPA ก่อนที่จะเปิดการแข่งขันเสรีก๊าซฯ อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งทำให้ผู้เกี่ยวข้องได้ทราบถึงกระบวนการจัดหา LNG ตลอดจนแนวทางการบริหารจัดการสำหรับผู้จัดหาก๊าซธรรมชาติเหลว(Shipper) รายใหม่ และเพื่อให้หน่วยงานกำกับที่เกี่ยวข้องได้ศึกษารายละเอียดและหาแนวทางแก้ไขร่วมกันต่อไป