วันนี้(11 มี.ค.63) นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุค ระบุถึงกานแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาล ว่า “ไวรัส Covid-19” ...ฟางเส้นสุดท้ายที่ประชาชนจะให้โอกาสรัฐบาล การจัดการไวรัส Covid 19 ของรัฐบาล สะท้อนถึงการไร้ประสิทธิภาพ และไร้ความสามารถในการบริหารจัดการประเทศ ขาดการวางแผนอย่างบูรณาการ หลายกระทรวงทำงานโดยขาดการประสาน แต่กลับสะท้อนภาพความขัดแย้งระหว่างกัน การไร้ความสามารถในการจัดการอุปกรณ์ป้องกันตนเอง (หน้ากากและเจลล้างมือ)ให้แก่ประชาชน แต่กลับมีภาพของคนใกล้ชิดรัฐมนตรีเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายหน้ากากป้องกันตัวให้กับต่างชาติจำนวนมหาศาล ขณะที่แพทย์และพยาบาลขาดแคลนจนเป็นข่าวที่สร้างความตระหนกไปทั่ว ปรากฏการณ์เหล่านี้คือ ต้นทางของความวิกฤตและความหายนะที่ประชาชนในประเทศไทยกำลังเผชิญ วันนี้...เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะข่าวสารของภาครัฐต่อสาธารณชน เนื่องจากส่วนหนึ่งมาจากการไม่ยอมรับความจริงของรัฐบาลถึงสถานการณ์ของผู้ติดเชื้อและการแพร่ระบาดในสังคม รัฐบาลรับมือกับปัญหาในสถานการณ์ตกเป็นฝ่ายรับ ปล่อยให้เกิดการทำงานที่ไม่มีการประสานงานและขาดเอกภาพ จนเกิดภาวะการทำงานคนละทิศทาง และก่อให้เกิดความตระหนก หวาดวิตก และข่าวลือแพร่สะพัด จนทำลายความเชื่อมั่นที่คนในสังคมมีต่อรัฐบาล ขาดการกำหนดยุทธศาสตร์เชิงรุกในภาวะวิกฤต ทั้งการสื่อสาร การให้ข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการป้องกันตนเอง ขาดการกำหนดมาตรการที่ชัดเจน ในมิติการป้องกัน และการกระจายความเท่าเทียมในการเข้าถึงอุปกรณ์ป้องกันตนเอง กำหนดพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด มาตรการป้องกันการรับนักท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยโดยมีระบบติดตาม การสื่อสารเพื่อให้ข้อมูลความก้าวหน้าการระบาดของไวรัส เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องในการลดความกลัว ความรังเกียจที่ประชาชนจะเกิดอคติต่อกัน การจัดการกับ Covid-19 จึงเป็นทั้งมาตรการการแพทย์ ทางสังคม การสื่อสารสาธารณะ ที่ต้องเป็นเชิงรุกมากกว่าการประกาศแจกหน้ากากอนามัย ที่คนต่อคิวยาวเหยียดเพื่อไปรอรับหน้ากากจำนวนน้อยชิ้น การประกาศนโยบายที่สะท้อนถึงความไม่เข้าใจในสถานการณ์ปัญหา และ จัดลำดับความสำคัญผิด สถานการณ์วันนี้ เรื่องภัยจากโรคระบาดและภาวะสุขภาพอนามัยของประชาชนควรเป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ซึ่งรัฐต้องมีแนวทางที่เป็นรูปธรรมชัดเจนให้เห็น มิใช่การกระทำที่ย้อนแย้ง สะเปะสะปะ อย่างเช่นการประกาศนโยบายแจกเงินไปทั่ว อย่างไร้เป้าหมาย (วันนี้สั่งระงับเพราะทานต่อกระแสต่อต้านในสังคมไม่ได้) ในขณะที่บางหน่วยงานของรัฐบาล ไปเร่ขอเปิดกองทุนเพื่อรับบริจาค จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคม รวมทั้งการที่ยังไม่มีมาตรการเข้มงวดจริงจังกับผู้อยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือการปฎิบัติอย่างลักลั่นกับผู้กลับจากประเทศที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือการมีมาตรการกับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่ไม่ชัดเจน จนเป็นที่กังวลใจของประชาชนส่วนต่างๆ ทั่วประเทศ สถานการณ์วันนี้ ต้องให้บุคลากรทางด้านสาธารณสุข เป็นทัพหน้า เพราะเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ตรง โดยรัฐบาลต้องบูรณาการงานของทุกกระทรวง วางบทบาทเป็นทีมสนับสนุนที่เข้มแข็ง ไปในทิศทางเดียวกัน มิใช่ปล่อยให้แพทย์ พยาบาลต้องออกมา ดิ้นรนหาหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันตัวเองแบบที่เป็นอยู่ ข่าวการกักตุนหน้ากากอนามัยส่งออกไปขายจีน หรือข่าวที่คนไทยส่วนใหญ่รับรู้ถึงเรื่องการปล่อยให้คนวงในที่ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันกับคนระดับสูงในรัฐบาล ที่มีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ในการแสวงหาประโยชน์ด้วยความละโมบ ไม่รู้จักพอ หากินบนความทุกข์ยากเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ต้องมีการดำเนินการ เร่งรัดจัดการปัญหาให้เด็ดขาด ชัดเจนและโปร่งใส อย่าปล่อยให้เรื่องนี้มีความคลุมเครือ และผ่านเลยไป เหมือนทุกๆ เรื่องที่ผ่านมา Covid-19 กำลังเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ประชาชนจะให้โอกาสรัฐบาล หากผลปรากฎความล้มเหลวในการบริหารจัดการของรัฐบาล เช่นที่กำลังเกิดชึ้นในปัจจุบัน ผู้มีอำนาจคงมิอาจหลีกเลี่ยงผลที่จะต้องเผชิญ และเชื่อว่าสิ่งที่จะได้รับ จะเป็นผลตอบแทนที่ประชาชนจะมอบให้อย่างสาสม จาก ความไม่พึงพอใจของพี่น้องประชาชน ต้องเผชิญกับวิกฤตที่จะส่งผลอันไม่อาจคาดคิด …ถ้าไร้ความสามารถ ก็ควร "เปิดหนทางให้สังคมไทย และคนไทยมีโอกาสตัดสินใจเลือกอนาคตของเขา ด้วยตัวเขาเอง” ……ได้เวลานายกและกลุ่มผู้มีอำนาจทั้งหลาย จะแสดงความกล้าหาญและแสดงความรับผิดชอบกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ในปัจจุบัน.... ฟางเส้นสุดท้ายของประชาชนใกล้จะขาดเต็มทีแล้วครับ