ครม.เห็นชอบมาตรการระยะที่ 1 ดูแลผลกระทบเศรษฐกิจ-ประชาชนจากไวรัสโควิด-19 ทั้งมาตรการทางการเงิน-ภาษี พร้อมกันวงเงินงบประมาณเบื้องต้น 2 หมื่นล้านเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบชุดมาตรการดูแลผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระยะที่ 1 เพื่อดูแลทุกภาคส่วนทั้งผู้ประกอบการและประชาชนทั่วไป ภายใต้หลักการที่ว่าเป็นมาตรการที่ทันการณ์ ตรงเป้าหมาย และเป็นมาตรการชั่วคราวตามความจำเป็น ประกอบด้วย มาตรการทางการเงินและมาตรการทางภาษี สำหรับมาตรการทางการเงิน ประกอบด้วย 1.มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อช่วยเหลือผู้ประการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเตรียมวงเงินไว้ 150,000 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำที่ 2% ระยะเวลา 2 ปี วงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย 2.มาตรการพักเงินต้น ลดดอกเบี้ย และขยายระยะเวลาการชำระหนี้ แก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะดำเนินการโดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เป็นต้น 3.มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้สถาบันการเงินที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ผ่อนปรนหลักเกณฑ์ในการอำนวยสินเชื่อของสถาบันการเงิน เพื่อให้สามารถอำนวยสินเชื่อให้แก่ภาคธุรกิจและเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น 4.มาตรการเสริมจากสำนักงานประกันสังคม โดยเตรียมสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 30,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3% ระยะเวลา 3 ปี เพื่อให้กู้แก่ผู้ประกอบการที่ขึ้นทะเบียนไว้กับสำนักงานประกันสังคม ส่วนมาตรการทางภาษี ประกอบด้วย 1.มาตรการคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย จาก 3% เหลือ 1.5% โดยจะมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน-กันยายน 2563 รอบปีภาษี 2563 และ 2.มาตรการลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ด้วยการให้นำไปลดหย่อนภาษีได้ 1.5 เท่า และ3.มาตรการส่งเสริมการจ้างงานที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 โดยให้นำรายจ่ายค่าจ้างมาหักลดหย่อนได้ 3 เท่าในการคำนวณภาษีเงินได้ 4.การเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศให้เร็วขึ้น หากเป็นผู้ที่ยื่นแบบชำระภาษีทางอินเทอร์เน็ตจะคืนให้ภายใน 15 วัน ส่วนการยื่นที่สำนักงานสาขาของสรรพากรจะคืนให้ภายใน 45 วัน นอกจากนี้ยังมีมาตรการอื่นๆเช่น 1. มาตรการบรรเทาการจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ,การคืนเงินประกันค่ามิเตอร์ไฟฟ้า 2.กองทุนประกันสังคม ให้ลดการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนฯ ทั้งในส่วนของนายจ้างและลูกจ้าง 3.มาตรการบรรเทาภาระค่าธรรมเนียม ค่าเช่า ค่าตอบแทนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ค่าเช่าพื้นที่ราชพัสดุ 4.มาตรการช่วยเหลือตลาดทุน โดยให้ผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) สามารถนำไปหักลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้เพิ่มอีก 200,000 บาท สำหรับเงินลงทุนระยะเวลาตั้งแต่ 1 เมษายน-30 มิถุนายน 2563 จากเดิมหักลดหย่อนได้ 200,000 บาท โดยอาจจะพิจารณาขยายเวลาให้อีกหากมีความจำเป็น ขณะเดียวกันที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบให้กันวงเงินงบประมาณเบื้องต้น 20,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมการไว้สำหรับการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่น ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง หรือสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากที่พนักงานไม่สามารถทำงานได้เต็มที่ การเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากร ซึ่งกระทรวงการคลังจะหารือกับสำนักงบประมาณ เพื่อกำหนดรูปแบบและขอบเขตการใช้วงเงินดังกล่าวต่อไป นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากรเสนอยกเว้นอากรนำเข้าวัสดุที่เกี่ยวข้องกับหน้ากากอนามัยเป็นระยะเวลา 6 เดือน นับจากนี้เป็นต้นไป