“ไรมอน แลนด์”งัดแผนรับมือโควิด-19 มั่นใจเอาอยู่ โชว์ผลงานปี 62 กำไรสุทธิ 59.9 ล้านบาท โต 1,896.6% รับโอน 9 โครงการอสังหาฯ ชี้ลดดอกเบี้ยนโยบายส่งผลดีธุรกิจ ต้นทุนต่ำลง นายไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ของประเทศไทย เปิดเผยถึงผลประกอบการปี 2562 บริษัทมีกำไรสุทธิ 59.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,896.6%จากปีก่อน และมีรายได้รวม  3,624.2  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9 % จากปีก่อน โดยบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2562 มีมูลค่ารวม 8,010.5  ล้านบาท นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติเสนอจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.015 บาท ในวันที่ 29 พ.ค.63 ทั้งนี้บริษัทรับรู้รายได้  3,624.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.9 % จากปี 2561 ที่มีรายได้รวม 3,326.9 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 59.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,896.6% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3 ล้านบาท การเติบโตด้านรายได้มาจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งรวมถึง The Lofts Asoke,The Diplomat 39 และล่าสุด The Lofts Silom ที่เพิ่งสร้างเสร็จพร้อมโอน เมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา อีกทั้งโครงการอื่นๆรวมทั้งสิ้น 9 โครงการ นอกจากนั้นบริษัทยังมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ ซึ่งรวมถึงธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 45.1 ล้านบาท รายได้อื่นๆ 320.1 ล้านบาทประกอบด้วย ค่าเช่าและค่าบริการ รายได้ค่าธรรมเนียมการตลาด ค่าบริหารโครงการ ค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน และดอกเบี้ย สำหรับผลประกอบการ ไตรมาส 4 ปี 2562 บริษัทมีรายได้รวม 557.5 ล้านบาท โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากโครงการ The Lofts Asoke, The Diplomat สาทร และ The Lofts Silom ทั้งนี้รายได้ที่ลดลงในไตรมาสนี้เป็นไปตามการคาดการณ์ของบริษัท เนื่องจากโครงการสำคัญใหม่ที่เริ่มทยอยรับรู้รายได้คือ The Lofts Silom เพิ่งเริ่มโอนรับรู้รายได้ในเดือนธันวาคม 2562 ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่จากโครงการนี้จะไปรับรู้ในปี 2563 สำหรับกำไรขั้นต้นในไตรมาส 4/2562 บริษัทมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 29.4% จาก 25.4% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ดี บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ  129.0 ล้านบาทในไตรมาสนี้ เนื่องจากบริษัทอยู่ในระหว่างการขยายธุรกิจทำให้มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสำหรับการศึกษาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้กำไรขั้นต้นและอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2562 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2561 เนื่องจากในปี 2561 รายได้ 43.1% ของรายได้รวมมาจากการขายโครงการที่ให้ส่วนลดพิเศษ และโครงการที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำเช่น โครงการยูนิกซ์ เซาท์พัทยา มีการให้ส่วนลด เพราะเป็นโครงการเก่าที่สร้างเสร็จพร้อมโอนตั้งแต่ปี 2558 อีกทั้งเป็นโครงการที่มีกลุ่มลูกค้าแตกต่างจากกลุ่มที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญและไม่ได้อยู่ในทำเลที่บริษัททำธุรกิจเป็นหลัก ทำให้บริษัทต้องการปิดการขายโครงการนี้โดยเร็ว รวมถึงโครงการ The Diplomat 39 และ The Diplomat สาทร มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำ เพราะเป็นโครงการที่ซื้อมาเพื่อขายและรับรู้รายได้ทันที ซึ่งไม่ต้องรับความเสี่ยงในการดำเนินการก่อสร้าง โดย ณ วันที่ 31 ธ.ค.62 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) รวมมูลค่า 8,010.5 ล้านบาท จาก 7 โครงการคือ โครงการ เทตต์ ทเวลฟ์,โครงการเดอะ ลอฟท์ สีลม,โครงการดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์,โครงการเดอะ ลอฟท์ ราชเทวี, โครงการเดอะ ลอฟท์ อโศก,โครงการเดอะ ดิโพลแมท 39  และโครงการยูนิกซ์ เซาท์พัทยา นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลจากกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรในอัตราหุ้นละ 0.015 บาท สำหรับรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.62 คิดเป็นจำนวนเงิน 62.6 ล้านบาท โดยการจ่ายเงินปันผลจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้น ที่มีรายชื่อปรากฏอยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการรับเงินปันผล(Record Date) ณ วันที่ 13 พ.ค.63 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 29 พ.ค.63 โดยเตรียมขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2563 ในวันที่ 30 เม.ย.63 “ความผันผวนของสภาพเศรษฐกิจระดับมหภาคในช่วงปี 2562 ยังคงมีผลกระทบต่อเนื่องจนถึงปี 2563 แม้ว่าสภาวะการของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนจะเริ่มคลี่คลายแล้ว แต่ประชากรโลกกลับยังต้องเผชิญกับปัญหาใหม่คือ ภัยคุกคามของโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงในด้านสุขภาพ การค้า และการติดต่อระหว่างประเทศ บริษัทเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อรับมือป้องกันและปรับแผนการดำเนินงานเพื่อลดผลกระทบจากโควิด-19” นอกจากนั้นหลังจากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง  3ครั้ง ตั้งแต่เดือนส.ค.62 จาก 1.75% ต่อปี มาเป็น 1.00% ต่อปีในเดือนก.พ.63 ซึ่งถือเป็นระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ บริษัทมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงเป็นผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในด้านต้นทุนที่ลดลงสำหรับบริษัทผู้พัฒนาโครงการและลูกค้าผู้ซื้อโครงการ แม้เศรษฐกิจในภาพรวมจะชะลอตัว แต่บริษัทยังมีมุมมองที่เป็นบวกและเชื่อว่า ตลาดโครงการที่อยู่อาศัยยังสามารถดึงดูดความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ซื้อโครงการเพื่ออยู่อาศัยของตนเอง และเป็นทรัพย์สินเพื่อการลงทุนระยะยาว ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังคงดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงโดยสร้างธุรกิจที่ก่อให้เกิดรายได้ประจำเพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและต่อเนื่อง