เริ่มมีอาการระส่ำกันให้เห็นอีกแล้ว! สำหรับฟอร์มการเล่นของบรรดานักเตะของพลพรรค “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ยอดทีมในศึกพรีเมียร์ลีก ประเทศอังกฤษ ที่กำลังลุ้นคว้าแชมป์ลีกสูงสุดในรอบ 30 ปี เกิดสะดุดหยุดสถิติไร้พ่ายไว้แค่ 44 นัด โดยออกไปแพ้เกมเยือนถึง 3 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 6 ปี แถมทำประตูคู่แข่งไม่ได้ 2 นัดอีกด้วย เริ่มจากบุกไปแพ้ “แอตเลติโก มาดริด” 0-1 ในเกมแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดแรก และกลับมาชนะ “เวสต์แฮม” ในเกมลีกแบบหืดจับ 3-2 ต่อด้วยบุกไปโดน “วัตฟอร์ด” ถล่มยับ 3-0 ในลีก และล่าสุดปราชัยต่อ “เชลซี” 0-2 ตกรอบเอฟเอ คัพ ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ หลังจากที่บุกไปเฉือนชนะ “เวสต์แฮม” 3-2 ทำให้เก็บเพิ่มเป็น 79 คะแนน นำห่างอันดับ 2 อย่าง “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี ทีมอันดับ 2 ที่เตะน้อยกว่า 1 นัด อยู่ 22 แต้ม ซึ่งหงส์แดงต้องการชัยชนะอีกแค่ 4 นัด จาก 10 นัดที่เหลือ ก็จะการันตีแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ แต่การที่บุกไปโดน “วัตฟอร์ด” ยิงไส้แตก ทำให้บรรดาเหล่า “เดอะค็อป” ต้องยืดระยะเวลาฉลองแชมป์ออกไปอีก โดยเฉพาะในเกมพบกับ “วัตฟอร์ด” จะเห็นได้ชัดว่า “ลิเวอร์พูล” ขาดชีวิตชีวาตั้งแต่นาทีแรก ยันนาทีสุดท้าย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการขาดหายไปของกัปตันเลือดเดือดอย่าง "จอร์แดน เฮนเดอร์สัน" ทำให้ไม่มีตัวขับเคลื่อนเกมจากกลางสนาม รวมถึงการกระตุ้นเพื่อนให้ฮึกเหิมตลอดเวลาด้วย ทั้งนี้ 3 ประตูที่ "หงส์แดง" โดนนั้น "เดยัน ลอฟเรน" มีส่วนร่วมทั้งหมด โดยเฉพาะ 2 ลูกแรกถือว่าชัดเจนมาก ซึ่งนัดนี้ "คล็อปป์" เลือกใช้ “ลอฟเรน” แทนที่ "โจ โกเมซ" โดยให้เหตุผลว่าสภาพร่างกายไม่ฟิตพอ โดย"กองหลังชาวโครเอเชีย"คนนี้ ไม่ได้เป็นตัวจริงในเกมลีกมาตั้งแต่เดือนธันวาคมแล้ว เพราะการจับคู่ของ "ฟาน ไดจ์ค" กับ "โกเมซ" ถือว่าเหนียวแน่นและพลาดยากจริง ๆ อย่างไรก็ตามดูแล้วเหมือนว่าฟอร์มโดยรวมของ "หงส์แดง" ดูแผ่ว ๆ ยังไงชอบกล ทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า บรรดานักเตะของทีมเกิดอาการฟอร์มหลุดกับแบบยกทีมเหมือนในช่วงท้ายฤดูกาลที่ผ่านมา แถมนัดล่าสุดที่บุกไปแพ้ "เชลซี" 0-2 จนต้องตกรอบเอฟเอ คัพ มาจากความผิดพลาดของนักเตะ “ลิเวอร์พูล”ทั้งนั้น เริ่มจากลูกแรก “อาเดรียน”ผู้รักษาประตู รับลูกยิงของ “วิลเลียน” ไม่ดี บอลปลิ้นเข้าประตูไป โดยเป็น “ฟาบินโญ” ที่ทำบอลลั่นจนไปเข้าทางปืนวิลเลียน ส่วนประตูที่ 2 “เคอร์ติส โจนส์” ไปทำเสียบอลในแดนหน้า โดนเชลซีโต้กลับเร็วโดย “รอส บาร์คลีย์” กระชากบอลไปยิงตุงตาข่าย “โจ โกเมซ” ที่กลับมาเป็นตัวจริงในเกมนี้ ก็เอาแต่ถอย ไม่ยอมเข้าบอลจนทำให้ “บาร์คลีย์” มีเวลาในการเล็งเพียบ ส่วนอีกเรื่องคือความเด็ดขาดในการจบสกอร์ เกมนี้ลิเวอร์พูลขาดความเฉียบคมในจังหวะที่ควรเป็นประตู โดยเฉพาะช่วงครึ่งแรกที่มีโอกาสกระหน่ำยิง 2-3 หนติดๆ แต่ดันยิงไปติดเซฟเกปาหมดเลย สำหรับเกมเอฟเอ คัพ รอบนี้ “คลอปป์” เลือกใช้ทั้งตัวจริง-ตัวสำรอง และดาวรุ่งลงสนาม ทำให้รูปเกมค่อนข้างสะเปะสะปะ โดยเฉพาะแดนกลางทำเกมกันไม่ได้ แถมยังเสียบอลกันง่ายๆ ทั้ง ฟาบินโญ, อดัม ลัลลานา และ เคอร์ติส โจนส์ ด้านแนวรุกวางตำแหน่งแปลกๆ โดยเอา “ซาดิโอ มาเน” ไปเล่นทางขวาทำให้เค้นฟอร์มเก่งออกมาไม่ได้มากพอ ส่วน “ทาคูมิ มินามิโนะ” ก็เล่นไม่ค่อยออกในฐานะกองหน้าตัวเป้าที่ถนัดลงมาล้วงบอลทำเกมมากกว่า ส่วน “โอริกี” การตัดสินใจจังหวะสุดท้ายไม่ดีพอ บางจังหวะเล่นเองทั้งที่ควรจ่าย "หงส์แดง" ไม่ใช่ไม่เคยมีลุ้นแชมป์สูงสุดของเกาะอังกฤษ ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา ในฤดูกาล 2013-14 ที่ลิเวอร์พูล เข้าใกล้แชมป์เช่นเดียวกัน และเป็นปีเดียวกับที่เกิดเหตุการณ์ "ลื่น"บรรลือโลก ของ "สตีเวน เจอร์ราร์ด"ยอดกัปตันทีมหงส์แดง จนกลายเป็นตำนานจนถึงทุกวันนี้ และเป็นนัดที่ส่งผลกระทบให้ต้องพลาดแชมป์ในฤดูกาลนั้นไป ต่อมาในฤดูกาล 2018-2019 "หงส์แดง" ทำผลงานดีนับตั้งแต่ "เจอร์เกน คล็อปป์" กุนซือชาวเยอรมัน เข้ามาคุมทัพแทน "เบรนแดน ร็อดเจอร์ส" เมื่อปี 2015 และเขาใช้เวลาเพียงแค่ 2 ฤดูกาล ก็สามารถยกระดับทีม “ลิเวอร์พูล” ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ และสามารถพาทีมขึ้นนำเป็นจ่าฝูงในตารางพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นสถานการณ์ใกล้เคียงกับซีซั่น 2013/14 ที่พวกเขาเคยเบียดลุ้นบัลลังก์แชมป์มากที่สุด ทั้ง 2 ฤดูกาลที่กล่าวมา มีแค่เหตุผลเดียวที่ "ลิเวอร์พูล" ชวดแชมป์ คืออาการ "เป๋" ของบรรดานักเตะที่อยู่ดีๆก็ชอร์ตไปดื้อๆ โดยเฉพาะในช่วงท้ายฤดูกาล ที่ต้องขับเคี่ยวกันอย่างเข้มขันกับทีมอย่าง "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ซิตี เข้าใจได้ว่าชั่วโมงนั้น "นักเตะ" ระดับ B+ ที่กุนซือสมองเพชรอย่าง "คล็อปป์" ปลุกปั้นมา ยังไม่มีประสบการณ์ในการรับแรงกดดันอันมหาศาลนี้ ทำให้เกิดอาการเกร็งจนฟอร์มหลุดกันยกทีมแบบในช่วงท้ายฤดูกาล 2018-2019 ทั้งที่เหลือไม่ถึง 10 นัด แค่ไม่แพ้ก็ซิวแชมป์แล้ว แต่กลับไปพลาดท่าให้ทีมท้ายตาราง แถมออกอาการเสียขวัญยิ่งเล่นยิ่งแย่ ถึงแม้ว่าฤดูกาลนี้ “หงส์แดง” จะโกยแต้มนำทีมอันดับ 2 กว่า 20 คะแนน แต่ด้วยฟอร์มที่ระส่ำของทีมในตอนนี้ ก็ไม่เป็นผลดีเท่าไหร่ อย่าลืมว่าฤดูกาลที่ผ่านมาเป็นประสบการณ์ให้จดจำกันแล้ว แน่นอนว่าด้วยแต้มที่นำขนาดนี้ทีมต้องคว้าแชมป์ลีกแน่นอน แต่ถ้าหันกลับไปดูทีมรองจ่าฝูงอย่าง “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” ที่ฟอร์มกำลังดีวันดีคืน เก็บ 3 แต้มได้ทุกนัด ต่างจาก “ลิเวอร์พูล” ที่ฟอร์มกำลังแผ่ว และยังกลับคืนฟอร์มไม่ได้โดยเร็ว ปล่อยให้แต้มหลุดมือไปบ่อยๆ ยิ่งจะสร้างแรงกดดันไปยังเหล่านักเตะของทีม ถ้าเป็นแบบนี้อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้...อย่าประมาทเชียว