“WP”ส่งสัญญาณความแข็งแกร่ง หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนต่ำเพียง 0.14 เท่าลดลงต่อเนื่อง ขณะที่กระแสเงินสดในมือล้นกว่า 1,000 ล้านบาท ตบท้ายด้วยกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรเท่ากับ 212 ล้านบาท ประกาศต่อจากนี้ลุยธุรกิจตามแผน หนุนผลงานเติบโตอย่างมีศักยภาพ ระบุจากสถานะทางการเงินของบริษัทมั่นคงทำให้มั่นใจสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว น.ส.ชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ WP เปิดเผยว่า จากการที่บริษัทได้ดำเนินธุรกิจตามแผนที่ได้วางไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการต้นทุน การกระจายยอดขายไปตามกลุ่มลูกค้าอย่างเหมาะสม รวมถึงการขยายฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลทำให้ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตของผลการดำเนินงานไว้ได้อย่างต่อเนื่อง โดย ณ วันที่ 31 ธ.ค.62 กลุ่มบริษัทมีกระแสเงินสดรวมกว่า 1,000 ล้านบาท ส่วนกำไรสะสมที่ยังไม่ได้จัดสรรอยู่ที่ 212 ล้านบาท จากขาดทุนสะสม 58 ล้านบาทในปี 2562 ทำให้สามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล (สิ้นสุด ณ วันที่ 30 ก.ย.62)ให้กับผู้ถือหุ้นในรอบ 10 ปีในอัตราหุ้นละ 0.20 บาท เมื่อวันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า บริษัทมีสถานะทางการเงินที่มั่นคง และมีสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายต่อทุนต่ำเพียง 0.14 เท่า พร้อมเดินหน้าสร้างความเข็งแกร่ง และขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้สถานะการเงินของกลุ่มบริษัทดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 ถือว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้แม้ยอดขาย และกำไรสุทธิจะปรับตัวลดลงเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดรวมในประเทศ แต่เรายังสามารถสร้างผลกำไรได้ตามแผน เนื่องจากบริษัทมีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับมีแผนธุรกิจและทิศทางการเติบโตชัดเจน ขณะที่ผลิตภัณฑ์ และการบริการสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุดและทันเวลา ทำให้ WP สามารถรักษามาตรฐานการดำเนินธุรกิจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทมีเป้าหมายสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ และพัฒนาความสามารถทางการแข่งขันให้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงมองหาโอกาสใหม่ๆ เกี่ยวเนื่องจากธุรกิจเดิม เพื่อเสริมศักยภาพผลการดำเนินงานของบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง เพื่อผลักดันให้ยอดขายปี 2563 เติบโตได้ตามเป้าหมาย 1-2% จากปี 2562 ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นเชื่อว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากสัดส่วนการขายที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของจุดกระจายสินค้าที่ครอบคลุมมากขึ้น