ธปท.เผยบาทแข็งค่าสอดคล้องภูมิภาคจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ยันพร้อมดูแลค่าเงินบาทหากผิดปกติ แย้มเตรียมทางแก้ไว้หลายวิธี นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากการเข้าร่วมประชุมผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน พบว่ามีบางประเทศแสดงความเป็นห่วงเรื่องความผันผวนของค่าเงินในภูมิภาค ทั้งนี้มองว่าสาเหตุหลักมาจากสถานการณ์การอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก ทำให้ทุกสกุลเงินในอาเซียนต่างปรับตัวแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นการแข็งค่าของสกุลเงินในอาเซียนจึงเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกภูมิภาคเป็นหลัก ไม่ใช่จากปัจจัยภายในของแต่ละประเทศในอาเซียนเอง และในส่วนของไทยเองยังถือว่าโชคดีที่เงินบาทไม่ได้ผันผวนรุนแรงเมื่อเทียบกับหลายสกุล สำหรับการปรับลดวงเงินในพันธบัตร ธปท.ระยะสั้นลงในช่วงเดือนที่ผ่านมา เพื่อแก้ปัญหาเงินทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้ามาพักในระยะนั้นและมีการเก็งกำไรค่าเงินจนส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้น พบว่าการใช้มาตรการดังกล่าวถือว่าแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง เพราะทำให้เงินทุนที่เข้ามาไหลไปในส่วนของพันธบัตรระยะยาวมากขึ้นแทน ซึ่งหากเป็นในลักษณะนี้ ธปท.จะไม่มีความกังวลเท่ากับที่เงินทุนไหลเข้ามามากในช่วงสั้นๆ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินมีความผันผวน อย่างไรก็ตามธปท.ก็พร้อมที่จะเข้าไปดูแลค่าเงิน โดยยังมีอีกหลายมาตรการที่เตรียมไว้ใช้ หากพบว่าเงินทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้ามานั้นได้สร้างผลกระทบต่อตลาดเงิน และอัตราแลกเปลี่ยนของไทย “ยังมีหลายเครื่องมือที่จะใช้ ถ้าเห็นว่ามีการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ผิดปกติ เพราะการที่มีเงินเข้ามาพักไว้ช่วงสั้นๆ เป็นการสร้างแรงกดดันให้อัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งการลดวงเงินประมูลพันธบัตรของธปท.ลง ก็เป็นหนึ่งในหลายๆ มาตรการที่เราทำได้ เมื่อใดที่จำเป็นและเห็นว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น เราก็พร้อมที่จะนำเครื่องมือออกมาใช้ แต่การใช้มาตรการเหล่านี้คงจะไม่สามารถบอกกันล่วงหน้าได้ จะใช้เมื่อใดถึงจะค่อยประกาศ"นายวิรไท กล่าว ส่วนกรณีที่สหรัฐฯ จับตา 16 ประเทศที่มีการเกินดุลการค้าจากสหรัฐฯ ในจำนวนมาก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วยนั้น ผู้ว่า ธปท. กล่าวว่า ธปท.จะไม่มีการใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการค้า ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคถือว่าเป็นการแข็งค่าในระดับกลางๆ ในขณะที่เงินเยนแข็งค่าไปค่อนข้างมากกว่า ซึ่งการแข็งค่าของเงินบาทนั้นมาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก โดยเฉพาะมาจากการปรับตัวอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี เงินบาทจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดนั้นคงจะประเมินได้ยาก เนื่องจากไม่เฉพาะปัจจัยทางเศรษฐกิจที่จะต้องประเมินเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องของสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศเข้ามามีบทบาทสำคัญด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการเมืองของประเทศขนาดใหญ่ที่จะมีผลต่อประเทศที่เป็นตลาดเกิดใหม่ พร้อมมองว่าความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยที่ควรต้องจับตาในขณะนี้ คือ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศในหลายประเทศที่มีความตึงเครียดอยู่ในขณะนี้ ทั้งสหรัฐอเมริกา และในคาบสมุทรเกาหลี รวมทั้งต้องติดตามการใช้นโยบายการค้าระหว่างประเทศของประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ด้วย