"ซาบีน่า"ยอมรับเริ่มต้นปี 63 ปัจจัยลบรุมเร้าหนัก ลั่นไม่ประมาท แม้ว่าผลประกอบการในปี 62 จะดีกว่าคาดไว้ โดยกำไรสุทธิเติบโตจากปี 61 คิดเป็น 14.3% และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 54.4% เน้นทำงานแบบยืดหยุ่นสูง พร้อมปรับกลยุทธ์การขายผ่านช่องทางต่างๆอยู่ตลอดเวลา เน้นออนไลน์ เผยเท่าที่เกาะติดสถานการณ์ตั้งแต่ต้นปีวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19” ยังไม่ส่งผลกระทบกับยอดขาย เดินหน้าควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย หวังรักษาเป้าหมายการเติบโตให้ได้ 7-10% ต่อปี นายบุญชัย ปัณฑุรอัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซาบีน่า หรือ SABINA เปิดเผยว่า ผลประกอบการปี 2562 (มกราคม-ธันวาคม) โดยบริษัทมีรายได้จากการขาย 3,279.7 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 413.2 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2561 คิดเป็น 14.3% และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 54.4% ซึ่งเป็นการเติบโตจากการขายในทุกช่องทาง ประกอบด้วย ช่องทางรีเทล (Retail) ผ่านเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้าและซาบีน่า ช้อป เติบโต 3.7% ช่องทางออนไลน์หรือ Non Store Retailing (NSR) เติบโต 32.3% ช่องการส่งออก (Export) ในกลุ่มประเทศ CLMV โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม เติบโต 25.7% และช่องทางจ้างผลิต (OEM) เติบโต 0.1% ทั้งนี้แม้ว่าผลประกอบการในปี 62จะดีกว่าคาดการณ์ไว้ แต่ต้องยอมรับว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ มีปัจจัยลบเข้ามารุมเร้าหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่นอกจากจะทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวน้อยลงแล้ว ยังส่งผลกระทบกับภาพรวมเศรษฐกิจ รวมถึงกระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทำให้กำลังซื้อลดลงอีกด้วย อย่างไรก็ตาม จากการประเมินอย่างใกล้ชิดของฝ่ายบริหารและการเก็บข้อมูลพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคอย่างละเอียดพบว่า ยอดขายสินค้าของซาบีน่า ยังไม่ได้ผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวแต่อย่างใด “ยอดขายในช่วงต้นปีของเรายังไม่มีสัญญาณว่าจะมีปัญหาหรือได้รับผลกระทบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อาจจะทำให้ผู้บริโภคลดการออกไปช็อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าหรือในแหล่งชุมชน แต่กลับส่งผลดีต่อการซื้อขายออนไลน์ ซึ่งที่ผ่านมายังคงมียอดคำสั่งซื้อเข้ามาปกติ ขณะที่ซาบีน่าเน้นการทำตลาดและกระตุ้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์อยู่แล้ว ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยจะยังต้องติดตามสัญญาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดต่อไป ซึ่งกลยุทธ์การบริหารในภาวะที่ไม่ปกติเช่นนี้ มีความจำเป็นต้องใช้ความยืดหยุ่นสูงและพร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การขาย รวมถึงการทำตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้ตลอดเวลา” นายบุญชัยกล่าวด้วยว่า บริษัทยังเน้นควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายอื่นๆ อย่างเข้มข้น โดยในฝ่ายผลิตนอกจากจะเพิ่มทักษะให้กับพนักงานเพื่อให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น บริษัทยังคงจ้างผลิตสินค้าจากโรงงานในประเทศจีน โดยในปี 2562 สัดส่วนการซื้อสินค้าสำเร็จรูปอยู่ที่ 37% และผลิตเองในสัดส่วน 63% ซึ่งแม้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังไม่ได้ส่งผลกระทบกับการจ้างผลิต แต่ซาบีน่าได้เริ่มจ้างผลิตจากโรงงานในเวียดนามแล้ว เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและใช้เป็นฐานในการเพิ่มยอดขายในประเทศเวียดนาม ซึ่งยังคงเป็นตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงอีกด้วย ทั้งนี้จากกลยุทธ์ด้านการผลิต ประกอบกับการทำตลาดผ่านการขายออนไลน์ที่สามารถควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้นจะส่งผลให้เป้าหมายการขยับอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทให้สูงขึ้นนั้นมีโอกาสเป็นไปได้มากขึ้น แม้จะต้องเผชิญกับภาวะที่ยากลำบากก็ตาม