เพิ่มดีกรีเข้มข้นของการจับตาจ้องมองของบรรดานักวิเคราะห์ และการสำรวจคะแนนนิยมโดยสำนักโพลล์ต่างๆ เข้าไปทุกขณะ สำหรับ การเมืองเรื่องเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หลังศึกเลือกตั้งขั้นต้น เพื่อเฟ้นหาตัวแทนพรรคเดโมแครต ไปสัประยุทธ์กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ เจ้าของตำแหน่งเดิมจากพรรครีพับลิกัน ในสมรภูมิเลือกตั้งสนามใหญ่ปลายปีนี้ ผ่านพ้นไปแล้ว 3 รัฐ ก็ส่งผลให้เหล่านักวิเคราะห์แสดงทรรศนะออกมา เริ่มส่อให้เห็นเค้าลางตัวแทนพรรคเดโมแครต ไปช่วงชิงเกี้าอี้ประธานาธิบดีมาจากนายทรัมป์ หากไม่มีอะไรพลิกล็อก ผิดคาด พลาดคิวในหมู่พลพรรคเดโมแครตกันไปเสียก่อน ว่าแล้ว ทาง “ซีบีเอสนิวส์” สำนักข่าวชื่อดังในมหานครนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ จับมือกับ “ยูกอฟ” บริษัทวิจัยและการสำรวจข้อมูล ความคิดเห็นด้านการตลาดทางอินเตอร์เน็ต อันเลื่องชื่อในกรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ ร่วมกันสำรวจความคิดเห็นประชาชนชาวสหรัฐฯ ต่อคำถามที่ว่า ใครจะเป็นผู้ชนะในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะมีขึ้นในวันอังคารที่ 3 พ.ย.ปลายปีนี้ โดยทางคณะผู้จัดทำโพลล์ กำหนดให้ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” เจ้าของตำแหน่งประธานาธิบดีคนปัจจุบัน เป็นตัวชูโรง ในฐานะตัวแทนของพรรครีพับลิกัน ประชันกับเหล่าบรรดาผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ที่ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการแข่งขันในเวทีเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อหาตัวแทนพรรคฯ กันอยู่ ซึ่งทางคณะผู้จัดทำโพลล์ ก็นำผู้สมัครเหล่านั้น มาประกบเปรียบเทียบวัดคะแนนนิยมกับนายทรัมป์กันเลย ซึ่งการสำรวจมีขึ้นก่อนที่ทางพรรคเดโมแครต จะจัดเลือกตั้งขั้นต้นแบบคอคัสที่รัฐเนวาดา เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า พลิกผลโพลล์ที่สำนักต่างๆ ทำกันก่อนหน้าเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องคะแนนนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ เปรียบเทียบกับเหล่าผู้สมัครของพรรคเดโมแครต ที่เคยปรากฏว่า นายทรัมป์ มีคะแนนนิยมต่ำกว่าบรรดาผู้สมัครระดับตัวเก็งของพรรคเดโมแครต ไม่ว่าจะเป็นนายเบอร์นี แซนเดอร์ส วุฒิสมาชิกแห่งรัฐเวอร์มอนต์ และนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสมัยบารัก โอบามา นางเอลิซาเบธ วอร์เรน อดีต ส.ว.แห่งรัฐแมสซาชูเซตส์ และนายไมเคิล บลูมเบิร์ก อดีตนายกเทศมนตรีแห่งมหานครนิวยอร์ก เป็นอาทิ ทว่า มาในการสำรวจโพลล์คราวนี้ ปรากฏว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ พลิกกลับมามีคะแนนนิยมเหนือกว่าพลพรรคเดโมแครตคู่แข่ง ถึงขนาดระบุว่า หากเปิดคูหาให้ประชาชนชาวอเมริกันหย่อนบัตรเลือกตั้งกันในวันนี้ แดนพญาอินทรี ก็จะมีประธานาธิบดีคนหน้าเดิม คือ นายทรัมป์ โดยคะแนนที่ออกมา ก็ระบุว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ ไปถึงร้อยละ62 หรือคิดเป็น 2 ใน 3 ที่กลุ่มตัวอย่าง ตอบว่า นายทรัมป์จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งปลายปีนี้ ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัย คือ สมัยที่ 2 พร้อมกันนี้ ทางคณะผู้จัดโพลล์ยังระบุอีกว่า กลุ่มตัวอย่างข้างต้นล้วนเป็นผู้ที่ลงทะเบียนเลือกตั้ง คือ จะไปโหวตลงคะแนนเสียงในวันอังคารที่ 3 พ.ย.ปลายปีนี้กันทั้งสิ้น ส่วนกลุ่มตัวอย่างผู้ที่ตอบว่า นายทรัมป์จะไม่ชนะ คือ พ่ายแพ้ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนั้น มีจำนวนเพียงร้อยละ29 หรือคิดเป็น 1 ใน 3 เท่านั้น และไม่น่าเชื่อ แต่ก็ต้องเชื่อว่า แม้แต่กลุ่มตัวอย่างที่ลงทะเบียนว่าจะไปใช้สิทธิเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตเอง คือ ให้ความสนับสนุนต่อพรรคเดโมแครต ก็ยังให้คำตอบในทำนองที่ว่า พวกเขาคงต้องผิดหวังต่อผลการเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 2 เป็นแน่ เพราะมีจำนวนถึงร้อยละ 48 ตอบว่า นายทรัมป์ของทางฟากพรรครีพับลิกัน จะมีชัยชนะเหนือผู้สมัครของพรรคเดโมแครตที่พวกเขาสนับสนุน มีเพียงร้อยละ 41 ของกลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้เท่านี้ ที่เห็นว่า นายทรัมป์จะพ่ายแพ้ ส่วนความคิดเห็นจากลุ่มตัวอย่างผู้ลงทะเบียนของทางพรรครีพับลิกัน ต้นสังกัดของนายทรัมป์ คะแนนที่ได้ยิ่งนำหน้าอย่างหายห่วง คือ มั่นใจว่านายทรัมป์จะได้นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีเป็นคำรบ2 คิดเป็นจำนวนถึงร้อยละ 81 หรือคิดเป็นกว่า 8 ใน 10 เลยทีเดียวที่เชื่อมั่น นอกจากกองเชียร์ของพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ปรากฏว่า ในส่วนของผู้ที่ยังเป็นอิสระ คือ ยังไม่ได้กำหนดตายตัวว่าจะสนับสนุนพรรคใดให้เป็นแน่ชัด ก็มีจำนวนถึงร้อยละ 73 ที่เชื่อว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ จะยึดทำเนียบขาวไว้ได้อีกสมัย เมื่อแยกย่อยรายละเอียดลงไปอีก ปรากฏว่า การสอบถามชาวมหานครนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก แหล่งรวมความมั่งคั่ง และสารพันสิ่งต่างๆ ก็เชื่อมั่นว่า นายทรัมป์จะมีชัยเหนือกว่าคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตอีกเป็นแน่ โดยในจำนวนนี้เป็นกลุ่มตัวอย่างที่เป็นสมาชิกสหภาพต่างๆ จำนวนถึงร้อยละ 63 ส่วนผู้ที่มีถิ่นพำนักอยู่ในมหานครแห่งนี้ ถึงร้อยละ 58 ก็มั่นใจในชัยชนะของนายทรัมป์ และผู้ที่อยู่ตามชานเมืองของมหานครนิวยอร์กจำนวนถึงร้อยละ 69 ก็เชื่อเช่นนั้น หรือแม้กระทั่งผู้ที่อยู่ทางเหนือของรัฐนิวยอร์กขึ้นไปจำนวนร้อยละ 61 ก็เห็นว่า ชัยชนะจะตกอยู่กับนายทรัมป์เป็นแน่ รวมถึงกลุ่มตัวอย่างที่เป็นอเมริกันชาวผิวสี ก็ยกให้นายทรัมป์ พร้อมจะย้ำชัยอีกสมัย ถึงร้อยละ 43 ส่วนกลุ่มตัวอย่างนี้ ที่คิดว่านายทรัมป์จะพ่ายแพ้มีจำนวน ที่ร้อยละ 41 ก็ต้องติดตามสถานการณ์และบรรยากาศการชิงชัยในทางการเมืองของสหรัฐฯ กันอยู่เป็นระยะๆ เพราะยังเหลือเวลาอีก 8 เดือน กว่าจะถึงวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง ซึ่งอะไรๆ ไม่คาดฝันอาจจะเกิดขึ้นได้