วันที่ 26 ก.พ.63 นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคไทยรักษาชาติ โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊ก Chaturon Chaisang ระบุว่า...สถานการ์ไวรัสโคโรนาในประเทศไทยวันนี้พัฒนาไปอีกมาก มีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น โรงเรียนบางแห่งต้องปิด ธนาคารบางแห่งหยุดงาน โรงพยายาลบางแห่งมีบุคลากรต้องเฝ้าระวังหลายสิบคนโดยไม่รู้ว่าผู้ที่แพร่เชื้อได้นั้นไปใกล้ชิดกับใครอีกบ้าง แม้แต่สภาผู้แทนราษฎรก็มีผู้ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยว่าต้องอยู่ภายใต้การดูแลเฝ้าระวัง แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะใช้มาตรการอย่างไร ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขเพิ่งยอมรับว่าสถานการณ์น่าเป็นห่วง บางกระแสว่าอาจต้องยกระดับสถานการณ์เป็นระดับ 3 แต่ก็ยังไม่มีการออกมาตรการที่เข้มงวดในการป้องกันการแพร่เชื้อโดยเฉพาะจากประเทศที่มีความเสี่ยงเข้ามาในประเทศไทย ผมได้แสดงความเห็นมาตั้งแต่ต้นว่าประเทศไทยควรมีมาตรการที่เข้มงวดกว่าที่มีอยู่สำหรับรับมือกับไวรัสโคโรน่า แต่ดูเหมือนรัฐบาลจะไม่ค่อยเข้าใจทำให้ไม่ได้ยกระดับมาตรการให้ชัดเจนเหมาะสมกับปัญหา จะพบว่าในระยะหลังๆประเทศไทยมีวิธีปฏิบัติที่ลักลั่นสับสนอย่างมากเช่นบางหน่วยงานห้ามเจ้าหน้าที่หรือพนักงานเดินทางไปประเทศที่เสี่ยง ที่ไปมาแล้วจะต้องแยกไปอยู่ต่างหากอย่างน้อย 14 วัน กระทรวงศึกษาประกาศให้นักเรียน ครู ผู้ปกครองต้องไปกักตัวเฝ้าระวัง 14 วัน หน่วยงานอื่นหรือองค์กรภาคเอกชนอื่นบางองค์กรก็มีกติกาทำนองเดียวกัน ขณะที่ส่วนใหญ่ไม่มีระเบียบหรือข้อปฏิบัติใดๆ แต่ที่แปลกประหลาดมากก็คือจนบัดนี้ไม่มีข้อจำกัดหรือระเบียบปฏิบัติสำหรับชาวต่างชาติ(และคนไทยส่วนใหญ่)ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีความเสี่ยง การคัดกรองก็ทำเพียงวัดไข้ซึ่งเกือบจะไม่บอกอะไรเลยเพราะผู้ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้ทั้งๆที่ไม่มีอาการ เข้ามาแล้วก็ไม่ต้องกักตัวเฝ้าระวังแต่อย่างใด เราไม่มีระเบียบบังคับให้คนนั่งเครื่องบินหรือนั่งรถโดยสารสาธารณะต้องใส่หน้ากาก ถ้ามีระเบียบก็ไม่มีหน้ากาก นอกจากนี้ยังมีคนไทยจำนวนไม่น้อยเดินทางไปเที่ยวในประเทศที่มีความเสี่ยงอาจเป็นเพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่าปรกติ โดยไม่มีคำแนะนำหรือข้อห้ามใดๆจากทางหน่วยงานราชการ เมื่อกลับมาส่วนใหญ่ก็ไม่ต้องเฝ้าระวังหรือกักตัว ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นในหลายประเทศ จำนวนประเทศที่มีความเสี่ยงจึงมากขึ้น เมื่อประเทศไทยเกือบจะเรียกได้ว่าเปิดเสรีเช่นนี้จึงมีความเป็นไปได้ที่การติดเชื้อจะยิ่งมากขึ้น เมื่อติดเชื้อไปถึงเด็กในโรงเรียนหรือผู้ที่ทำงานในที่ทำงานที่มีคนมากๆแล้ว การจัดการก็จะยิ่งยาก ดังนั้นจึงจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องรีบกำหนดมาตรการเสียใหม่ทั้งหมดโดยเร็วที่สุด ก็ต้องบอกกันตรงๆว่าไม่น่าไว้วางใจเลยว่าหากมีการระบาดกว้างขวางขึ้น รัฐบาลไทยจะมีบุคลากร เครื่องไม้เคื่องมือเพียงพอ ก็ดูแต่หน้ากากเถอะครับ ใครก็หาซื้อไม่ได้ แล้วถ้าต้องใช้กันมากๆ จะทำกันยังไง ป.ล. ขณะที่ผมเขียนบทความนี้ สภายังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสส.ที่กลับจากญี่ปุ่นและเป็นไข้หวัด นายกฯยังชี้แจงด้วยข้อมูลเก่าเมื่อสองเดือนก่อน และรัฐมนตรีสาธารณสุขยังอ้างความสัมพันธ์ไทยจีนและพูดถึงคนจีนจากเมืองเมืองอู่ฮั่นว่าไม่มาเมืองไทยแล้ว ไม่จำเป็นต้องห้ามคนจีนมาไทย ทั้งๆที่ในจีนมีผู้ติดเชื้อทุกมณฑลแล้วและมีประเทศที่มีผู้ติดเชื้อหลายประเทศแล้ว ทั้งยังพูดว่ามีความพร้อมสารพัดและมั่นใจว่าควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งๆที่สถานการณ์ในไทยพัฒนาไปอีกมากแล้ว น่าเป็นห่วงครับ