นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฏิบัติงานกระทรวงการคลัง) กล่าวยืนยันว่า โครงการ "ชิมช้อปใช้" เป็นมาตรการกระตุ้นระบบเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบโดยตรงและรวดเร็ว ถือว่ามีความจำเป็นในช่วงที่เศรษฐกิจโลกตกต่ำ และถือว่าเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง โดยข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ตั้งแต่ 27 ก.ย.62-31 ม.ค.63 พี่น้องประชาชนเข้าร่วมโครงการกว่า 14 ล้านคน ใช้จ่ายเม็ดเงินผ่านแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” กว่า 29,000 ล้านบาท พี่น้องประชาชนเติมเงินผ่านกระเป๋า 2 (G-Wallet 2) สูงถึงร้อยละ 60 มีการใช้จ่ายผ่านร้านชิม 4,758.7 ล้านบาท ร้านช้อป 20,212.0 ล้านบาท ร้านใช้ 464.3 ล้านบาท และร้านค้าทั่วไป 3,288.4 ล้านบาท ทั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเม็ดเงินราวร้อยละ 92 ของยอดจับจ่ายใช้สอยทั้งหมดหมุนเวียนผ่านผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อย มีเพียงแค่ร้อยละ 8 เท่านั้นที่เข้าสู่ร้านโมเดิร์นเทรด เพราะในช่วงเริ่มต้นผู้ประกอบการบางรายทำโปรโมชั่นพิเศษเพื่อดึงดูดลูกค้า จึงเร่งแก้ปัญหาให้ยกเลิกโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม จากจุดนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าโครงการ "ชิมช้อปใช้" ไม่ได้เอื้อประโยชน์นายทุน หรือเงินไหลเข้าตระกูลใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เงินไหลเข้าร้านค้าชุมชนและผู้ประกอบการรายย่อยในทุกจังหวัดทั่วประเทศ อีกทั้งเป็นการจับจ่ายใช้สอยในเมืองรองมากกว่าเมืองหลัก คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60 หรือมีมูลค่ากว่า 17,000 ล้านบาท "ผมได้รับมอบหมายจากท่านอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ให้ลงพื้นที่ติดตามความเรียบร้อยของโครงการฯตั้งแต่เริ่ม เม็ดเงินได้กระจายลงสู่ระบบเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง ร้านค้าของชาวบ้านได้รับประโยชน์ ยอดขายปรับเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ บางร้านปรับเพิ่มทะลุ 100 เปอร์เซ็นต์ เงินไม่ได้ไหลเข้าผู้ประกอบการรายใหญ่ตามที่มีการอภิปราย ทั้งนี้ขอยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับประเด็นนี้เป็นลำดับต้นๆ อยู่แล้ว เพราะการยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทั่วทั้งประเทศ ถือเป็นเป้าหมายหลักของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" นายชาญกฤช กล่าว