เมื่อวันที่ 26 ก.พ.63 พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. พ.ต.อ.สรร มั่นเมืองรยา รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.สุพจน์ พุ่มแหยม, พ.ต.ท.อนุชา ศรีสำโรง, พ.ต.ท.ธนวัฒน์ หิ้นยกฮิ่น, พ.ต.ท.ภูวนนท์ สมัครไทย รอง ผกก.5 บก.ป. และร.ต.อ.สุขสิทธิ์ ประเสริฐ สว.กก.5 บก.ป. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบปราม ได้ร่วมกันจับกุมนายสายชล เจนเขตการ อายุ 43 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ จ.287 / 2549 ลงวันที่ 24 มีนาคม 2549 ในข้อหาว่า บุกรุกเคหสถานผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควรในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้ายและกระทำอนาจาร แก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยใช้กำลังประทุษร้าย ได้ที่ริมถนนในหมู่บ้าน ม.11 ต.ทับรั้ง อ.พระทองคำ จ.นครราชสีมา
ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อปี 2549 นายสายชล ผู้ต้องหา ประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้างในพื้นที่ ต.ลำพยา อ.เมือง จ.นครปฐม ซึ่งในแคมป์คนงานก่อสร้างเป็นที่พักของนายสายชล และลูกน้องปลูกอยู่ติดๆกันซึ่งตามปกติหลังเลิกงาน มักจะพาลูกน้องไปดื่มกินที่ร้านอาหารอยู่ประจำต่อมาได้มี น.ส.เอ(นามสมมุติ)ผู้เสียหายมารับจ้างทำงานเป็นคนงานก่อสร้างที่แคมป์ดังกล่าว โดยพักอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ซึ่งห้องพักของผู้เสียหายติดอยู่กับห้องพัก โดยนายสายชลได้แอบชอบผู้เสียหาย แต่เนื่องจากผู้เสียหายทราบว่านายสายชลฯ มีครอบครัวอยู่แล้วจึงไม่สนใจ
ต่อมาวันที่ 17 มี.ค.49 ขณะที่น.ส.เอ อยู่บ้านเพียงลำพังเนื่องจากพ่อแม่ ไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด นายสายชลฯ ซึ่งเดินทางกลับมาจากดื่มกินที่ร้านคาราโอเกะ ได้มาเคาะประตูเรียกน.ส.เอ บอกว่ามีธุระจะคุยด้วยเมื่อเปิดประตู นายสายชล จึงใช้กำลังผลักประตูเข้าไปปลุกปล้ำในห้องพักแต่ น.ส.เอ ได้ตะโกนร้องให้คนช่วย นายสายชล จึงได้วิ่งหนีออกจากแคมป์คนงานไป ต่อมาเมื่อพ่อแม่ น.ส.เอ กลับมาและทราบเรื่องจึงได้พา น.ส.เอ เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม เมื่อนายสายชล ทราบว่าถูกน.ส.เอ แจ้งความดำเนินคดีจึงพยายามขอไกล่เกลี่ยชดใช้ค่าเสียหายแต่ น.ส.เอ และครอบครัวยืนยันจะดำเนินคดีจนถึงที่สุด นายสายชล จึงหลบหนีมาโดยตลอด
จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. ได้สืบสวนทราบว่านายสายชล หลบหนีมาเป็นผู้รับเหมาในพื้นที่ จ.นครราชสีมา และพักอาศัยบริเวณ ม.11 ต.ทับรั้ง อ.พระทองคำ จ.นครราชสีมา จึงได้เดินทางไปตรวจสอบพบนายสายชลฯขับรถออกมาจากบ้านพักพอดี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแสดงตัวและแสดงหมายจับ และนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม เพื่อดำเนินคดีต่อไป จากการสอบถามผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อปี 2549 นายสายชล ผู้ต้องหา ประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้างในพื้นที่ ต.ลำพยา อ.เมือง จ.นครปฐม ซึ่งในแคมป์คนงานก่อสร้างเป็นที่พักของนายสายชล และลูกน้องปลูกอยู่ติดๆกันซึ่งตามปกติหลังเลิกงาน มักจะพาลูกน้องไปดื่มกินที่ร้านอาหารอยู่ประจำต่อมาได้มี น.ส.เอ(นามสมมุติ)ผู้เสียหายมารับจ้างทำงานเป็นคนงานก่อสร้างที่แคมป์ดังกล่าว โดยพักอาศัยอยู่กับพ่อแม่ ซึ่งห้องพักของผู้เสียหายติดอยู่กับห้องพัก โดยนายสายชลได้แอบชอบผู้เสียหาย แต่เนื่องจากผู้เสียหายทราบว่านายสายชลฯ มีครอบครัวอยู่แล้วจึงไม่สนใจ
ต่อมาวันที่ 17 มี.ค.49 ขณะที่น.ส.เอ อยู่บ้านเพียงลำพังเนื่องจากพ่อแม่ ไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด นายสายชลฯ ซึ่งเดินทางกลับมาจากดื่มกินที่ร้านคาราโอเกะ ได้มาเคาะประตูเรียกน.ส.เอ บอกว่ามีธุระจะคุยด้วยเมื่อเปิดประตู นายสายชล จึงใช้กำลังผลักประตูเข้าไปปลุกปล้ำในห้องพักแต่ น.ส.เอ ได้ตะโกนร้องให้คนช่วย นายสายชล จึงได้วิ่งหนีออกจากแคมป์คนงานไป ต่อมาเมื่อพ่อแม่ น.ส.เอ กลับมาและทราบเรื่องจึงได้พา น.ส.เอ เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม เมื่อนายสายชล ทราบว่าถูกน.ส.เอ แจ้งความดำเนินคดีจึงพยายามขอไกล่เกลี่ยชดใช้ค่าเสียหายแต่ น.ส.เอ และครอบครัวยืนยันจะดำเนินคดีจนถึงที่สุด นายสายชล จึงหลบหนีมาโดยตลอด
จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. ได้สืบสวนทราบว่านายสายชล หลบหนีมาเป็นผู้รับเหมาในพื้นที่ จ.นครราชสีมา และพักอาศัยบริเวณ ม.11 ต.ทับรั้ง อ.พระทองคำ จ.นครราชสีมา จึงได้เดินทางไปตรวจสอบพบนายสายชลฯขับรถออกมาจากบ้านพักพอดี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงแสดงตัวและแสดงหมายจับ และนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครปฐม เพื่อดำเนินคดีต่อไป จากการสอบถามผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา