กองปราบฯคุมตัวเเก๊งอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษา 6 คน ฝากขังศาลอาญาคดีทุจริตฯ เผยพฤติกรรมเหี้ยม ดักเฝ้าดู 9 วัน ระบุวันเกิดเหตุ “บรรยิน”คุมทีมด้วยตัวเอง เตรียมอุปกรณ์สำหรับฆ่าไว้ล่วงหน้า เมื่อเวลา 13.15 น.วันที่ 25 ก.พ.63 ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ได้นำตัว พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อายุ 56 ปี ,นายมานัส ทับนิล อายุ67ปี, 3.นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ อายุ48, 4. นายชาติชาย เมณฑ์กูล 31 ปี 5. นายประชาวิทย์ หรือตูน ศรีทองสุข อายุ 33 ปี 6.ดาบตำรวจธงชัย หรือ ส.จ.อ๊อด วจีสัจจะ อายุ 63 ปีผู้ต้องหา 1-6 ในความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป,เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป , พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำ การใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด” มายื่นคำร้องฝากขังครั้งเเรกเป็นเวลา 12 วันนับตั้งเเต่วันที่ 25 ก.พ.-7 มี.ค. แต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น เนื่องจากต้องสอบสวนพยานบุคคลจำนวน 10 ปาก ,รอผลการตรวจสอบวัตถุพยานทางวิทยาศาสตร์ที่ได้จากการตรวจค้นบ้านพักของผู้ต้องหาและจากที่เกิดเหตุ ,รอผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุ , รอผลการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร โดยคำร้องระบุพฤติการณ์สรุปว่าสืบเนื่องจากพนักงานอัยการกองคดีอาญากรุงเทพใต้ และทายาทของ นายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ผู้ตาย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พันตำรวจโท บรรยิน ตั้งภากรณ์ กับพวก เป็นจำเลยต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ในความผิดเกี่ยวกับการปลอมเอกสาร ใบโอนหุ้นและมีการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ไปให้พรรคพวกของ พ.ต.ท.บรรยิน ที่ร่วมกระทำความผิดโดยทุจริต ซึ่งเป็นคดีที่มีความเกี่ยวพันกับการฆาตกรรมอำพรางนาย ชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ซึ่ง พ.ต.ท.บรรยิน ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลจังหวัดพระโขนงอีกคดีหนึ่ง และศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้สั่งรวมสำนวนเป็นคดีหมายเลขดำที่ อ.305/2561 โดยมอบหมาย นางสาวพนิดา ศกุนตะประเสริฐ ผู้พิพากษาอาวุโส เป็นเจ้าของสำนวน ซึ่งได้มีการสืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว และมีการนัดหมายฟังคำพิพากษาคดีดังกล่าว ในวันที่ 20 มี.ค.63 ต่อมา ผู้ต้องหาที่ 1-6 ได้สมคบกันเพื่อทำการลักพาตัวนายวีรชัย ศกุนตะประเสริฐ พี่ชายของนางวสาวพนิดาฯ (ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน) เพื่อนำไปข่มขู่ให้นางสาวพนิดา มีคำพิพากษายกฟ้อง พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก พร้อมกับให้คืนเงินกับหุ้นในคดีทั้งหมดแก่ พ.ต.ท.บรรยิน ซึ่งมีการวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำ โดยเมื่อวันที่ 7 ม.ค.ผู้ต้องหาที่ 1 ได้มอบโทรศัพท์มือถือให้กับผู้ต้องหาที่ 2 และผู้ต้องหาที่ 3 คนละ 1 เครื่อง ส่วนผู้ต้องหาที่ 1 มีไว้ใช้เองจำนวน 2 เครื่อง จากนั้นได้เดินทางจากจังหวัดนครสวรรค์ มายังกรุงเทพมหานคร ด้วยรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด รุ่นเอเวอร์เรสต์ สีดำ ทะเบียน กร 39 นครสวรรค์ มาถึงบ้านเลขที่ 9/13 ซอยคลังมนตรี แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร จากนั้น ผู้ต้องหาที่ 2และ 3 ได้ช่วยกันนำรถจักรยานยนต์ขึ้นท้ายรถยนต์กระบะ ทะเบียน บย-8386 นครสวรรค์ โดยมีผู้ต้องหาที่ 2 เป็นคนขับ และมี ผู้ต้องหาที่ 1และ3 นั่งไปด้วย โดยขับมาจอดในวัดสุทธิวราราม จากนั้น ผู้ต้องหาที่ 2 กับพวก ได้นำรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว มาติดแผ่นป้ายทะเบียน ลจข 579 กรุงเทพฯ และผู้ต้องหาที่ 3 ได้ขี่รถจักรยานยนต์ ซึ่งมีผู้ต้องหาที่ 3 นั่งซ้อนท้าย ไปเฝ้าดูนางสาวพนิดา และนายวีรชัย แต่ไม่พบ จึงได้จอดรถจักรยานยนต์ไว้ที่บริเวณ ข้างธนาคารกรุงไทย ใกล้ศาลอาญากรุงเทพใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร แล้วนั่งรถแท็กซี่กลับบ้านมาที่ซอยคลังมนตรี ส่วนผู้ต้องหาที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์กระบะกลับบ้านไป ต่อมา ในวันที่ 8, 12, 13, 14, 15, 16, 17 และ 20 ม.ค.63 ผู้ต้องหาที่ 1-3 ยังคอยติดตาม สะกดรอยเฝ้าดูพฤติการณ์ของนางสาวพนิดา และนายวีรชัยฯ ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ไปจนถึงบ้านพักย่านถนนวรจักร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯโดยมีการใช้รถจักรยานยนต์ ติดแผ่นป้ายทะเบียน ลจข– 597 กรุงเทพฯ และใช้รถยนต์ ยี่ห้อ มินิคูเปอร์ ทะเบียน 2 กฐ-524 กรุงเทพฯ ในการเฝ้าติดตาม จนได้ทราบถึงพฤติกรรมและกิจวัตรประจำวันของนางสาวพนิดาและนายวีรชัย โดยในแต่ละวันนายวีรชัยจะนั่งรถแท็กซี่จากบ้านพักมารับ-ส่ง นางสาวพนิดา ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เป็นประจำ ซึ่งพ.ต.ท.บรรยิน ,นายณรงค์ศักดิ์ และนายมานัส ได้มีการจัดเตรียมยานพาหนะที่ใช้ในการก่อเหตุไว้ เป็นรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า สปอร์ตไรเดอร์ ทะเบียน ชฉ-683 กรุงเทพฯซึ่งมี พ.ต.ท.ประเสริฐ ผลประสาร เป็นเจ้าของและผู้ครอบครอง โดยนำมาถอดแล็คหลังคา บันไดด้านหลัง และกระจกที่กันแมลงหน้ารถออก แล้วนำแผ่นป้ายทะเบียน 3 กว-7719 กรุงเทพฯ มาติดไว้แทน เพื่ออำพราง และก่อนถึงวันที่จะลงมือก่อเหตุลักพาตัว พ.ต.ท.บรรยิน ได้สั่งการให้นายณรงค์ศักดิ์ ซื้อน้ำมันเบนซิน 95 พร้อมให้จัดเตรียมแผ่นสังกะสี และยางรถยนต์ 4 เส้น เตรียมไว้ โดย พ.ต.ท.บรรยิน และนายณรงค์ศักดิ์ ได้ร่วมกันขนสิ่งของดังกล่าวเข้าไปยังจุดที่บริเวณเขาใบไม้ ตำบลตาคลี อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ โดยใช้รถยนต์กระบะ ซึ่งมีนายณรงค์ศักดิ์ เป็นผู้ขับขี่ ต่อมาในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 ก่อนเกิดเหตุ พ.ต.ท.บรรยินได้ขับรถยนต์โตโยต้า รุ่นสปอร์ต ไรเดอร์ ติดแผ่นป้ายทะเบียน 3 กว-7719 กรุงเทพฯ ออกจากบ้านเลขที่ 9/13 ซอยคลังมนตรีฯ โดยนายมานัสขับขี่รถยนต์ ยี่ห้อฟอร์ด เอฟเวอร์เรส ทะเบียน กร 39 นครสวรรค์ ขับตามออกไปในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยนายมานัส ขับรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด เอเวอร์เรสต์ ขับออกไปอำเภอบางบัวทอง มุ่งหน้าไปทางจังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนรถยนต์สปอร์ตไรเดอร์ คันที่ใช้ก่อเหตุ ได้ขับขึ้นทางด่วนที่ด่านเก็บเงิน“พหลโยธิน”ขับลงที่ถนนจันทร์ แล้วไปจอดรอที่ฝั่งตรงข้ามศาลแพ่งกรุงเทพใต้(จุดเกิดเหตุ) เมื่อนายวีรชัย ลงจากรถแท็กซี่ พ.ต.ท.บรรยินนายณรงค์ศักดิ์ ,นายประชาวิทย์ ,นายชาติชายก็ร่วมกันพาตัวนายวีรชัย ขึ้นรถ แล้วขับหลบหนีขึ้นทางด่วนที่ด่าน“สุรวงศ์” ก่อนที่จะขับไปเข้าทางด่วนที่ด่าน“บางซื่อ 1”ก่อนที่จะขับมุ่งหน้าไปทางอำเภอบางบัวทอง และจังหวัดสุพรรณบุรี ระหว่างนั้น นางสาวพนิดา ได้โทรศัพท์ไปหานายวีรชัย แต่ พ.ต.ท.บรรยินกับพวก ได้ออกอุบายว่านายวีรชัย เกิดอุบัติเหตุ เมื่อนางสาวพนิดา ตรวจสอบตามโรงพยาบาลต่างๆ แล้วไม่พบเหตุ จึงไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระหว่างนั้น นางสาวพนิดาได้โทรศัพท์ไปยังหมายเลขของนาย วีรชัย อีกครั้ง พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก ได้พูดข่มขู่ นางสาวพนิดา ให้พิพากษายกฟ้อง พ.ต.ท.บรรยินกับพวก พร้อมกับให้คืนเงินกับหุ้นทั้งหมด หากไม่ทำตามก็จะฆ่านายวีรชัย แล้วนางสาวพนิดาจึงได้มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ซึ่งในเวลาต่อมา พ.ต.ท.บรรยิน กับพวก ก็ได้ร่วมกันฆ่านายวีรชัย แล้วนำศพไปเผาอำพราง ในพื้นที่ ตำบลตาคลี อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ก่อนที่จะนำศพของนายวีรชัย ที่ยังเผาไหม้ไม่หมด รวมทั้งเถ้ากระดูก และเถ้าถ่านในจุดที่เผาไปทิ้งลงแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อทำลายหลักฐานในการกระทำผิด สำหรับคดีนี้พนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม ได้รวบรวมพยานหลักฐานยื่นคำร้องขอหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 6คน ต่อศาลอาญา และศาลได้อนุมัติหมายจับที่ 221/2563 ลงวันที่ 19 ก.พ.63 (พ.ต.ท.บรรยิน) หมายจับที่ 222/2563 ลงวันที่ 19 ก.พ. 63 (นายมานัส ), หมายจับที่ 223/2563 ลงวันที่ 19 ก.พ.2563(นายณรงค์ศักดิ์ ),หมายจับที่ 248/2563 ลงวันที่ 23 ก.พ.63(นายประชาวิทย์),หมายจับที่ 249/2563 ลงวันที่ 23 ก.พ.63 (ดาบตำรวจธงชัยฯ),หมายจับที่ 250/2563 ลงวันที่ 23 ก.พ.63 (นายชาติชายฯ) ในความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป,เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป , พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด” และต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปราม ได้ทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาที่ 1-6 ตามหมายจับดังกล่าวข้างต้น ซึ่งจากการสอบถามผู้ต้องหาที่ 1-6 ให้การยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับดังกล่าวจริง และไม่เคยถูกจับตามหมายจับดังกล่าวมาก่อน จึงถูกนำตัวส่งถึงที่ทำการของพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ในชั้นสอบสวน ผู้ต้องหาที่ 1,2,6ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนผู้ต้องหาที่ 3,4,5 ให้การรับสารภาพ ตลอดข้อกล่าวหา เหตุเกิดที่ บริเวณหน้าศาลแพ่งกรุงเทพใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร, แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร , ตำบลตาคลี อำเภอตาคลี, อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ หลายท้องที่เกี่ยวพันกัน เมื่อระหว่างวันที่ 7 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน การกระทำของผู้ต้องหาเป็นความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป,เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป , พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำ การใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 139 ,140 วรรคแรก,210 วรรคสอง, 289 (4), 309 วรรคสอง, 313 (3) วรรคสาม และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 199 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 ,83 พนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาที่ 1กับพวก เนื่องจากคดีที่มีอัตราโทษสูง เกิน 3 ปี และเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีหรือไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน โดยการจับกุมนั้น เมื่อวันที่ 23 เวลา 06.20 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ได้ร่วมกันจับกุมตัว พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ ผู้ต้องหาที่ 1 ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 221/2563ลงวันที่ 19 ก.พ. 2563 ในความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป , เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป , พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด” ในวันที่ 23 ก.พ. 2563 เวลา 06.30 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการปราบปราม ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายณรงค์ศักดิ์ ป้อมจันทร์ ผู้ต้องหาที่ 3 ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลอาญา ที่ 223/2563 ลงวันที่ 19 ก.พ. 2563 ในความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป , เป็นซ่องโจรโดยเป็นการสมคบเพื่อกระทำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป , พยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้อื่น โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป และเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่โดยร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด” โดยภายหลังการฝากขัง พ.ต.ท.บรรยิน ผู้ต้องหาที่ 1 -6 ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ซึ่งศาลพิจารณาคำร้องผู้ต้องหาที่ 1 -6 พร้อมหลักทรัพย์แล้ว พิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านการปล่อยชั่วคราวเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี กรณีจึงไม่มีเหตุสมควรให้ปล่อยชั่วคราว ในชั้นนี้มีคำสั่งให้ยกคำร้อง พร้อมแจ้งเหตุผลในการไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาที่ 1และผู้ร้องขอประกันทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว