ขอนแก่นเรียกประชุมด่วน สสจ. โรงพยาบาลรัฐและเอกชน ตรวจสอบข้อเท็จจริงหลังพบการปล่อยข่าวพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรน่าที่ขอนแก่น “ผู้ว่าฯ” ย้ำชัดยังไม่พบผู้ป่วยแต่อย่างใด หลังผลการตรวจคณาจารย์และนักศึกษา ม.ขอนแก่น ที่เดินทางกลับมาจากเกาหลีผลตรวจเป็นลบ แต่ยังคงกักตัวไว้ 14 วัน ตามมาตรฐานความปลอดภัย
เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 24 ก.พ.2563 ที่ห้องประชุมชั้น 5 ศาลากลาง จ.ขอนแก่น นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น เรียกประชุมด่วน นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น, นพ.พิชาญ ฉมาดล ผอ.รพ.ขอนแก่น, นพ.ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผอ.รพ.ขอนแก่น และ รศ.นพ.อภิชาติ จิระวุฒิพงศ์ ผอ.รพ.ศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่กับกรณีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา หลังพบมีกระแสข่าวว่าพบการติดเชื้อในพื้นที่ จ.ขอนแก่น โดยใช้เวลาในการประชุมนานกว่า 30 นาที
นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า ยังคงยืนยันว่าขณะนี้พื้นที่ จ.ขอนแก่น ยังคงไม่พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หรือ K-19 ในพื้นที่แต่อย่างใด ซึ่งจากกระแสข่าวต่างๆที่เกิดขึ้น ขอให้ประชาชนในพื้นที่นั้นได้ตรวจสอบข้อมูลที่แท้จริงกับทางราชการ เพราะทุกอย่างนั้นมีขั้นตอนในการปฎิบัติเพื่อป้องกันตัวเองของผู้ปฎิบัติงานและผู้ป่วยด้วย ซึ่งโนรงพยาบาลของรัฐและเอกชนในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ทุกโรงพยาบาลมีห้องกักันและควบคุมโรคสำหรับการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวและมีบุคลากรที่เตรียมพร้อมต่อการรับต่อสถานการณ์ต่างๆในพื้นที่ตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง ซึ่งจากเหตุการณ์ที่คณะอาจารย์และนักศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่เดินทางกลับมาจากประเทศเกาหลีใต้นั้น พบว่ามีทั้งหมด 59 คน แยกเป็นคณาจารย์และนักศึกษาที่ไปดูร่วมโครงการฯ 57 คน และ คณาจารย์ที่ไปประชุมวิชาการ 2 คน ซึ่งเมื่อกลับมาถึง มข.แล้ว ก็เข้าสู่ขั้นตอนของการปฎิบัติคือการตรวจร่างกายตามขั้นตอน ซึ่งพบว่าในจำนวน 59 คนนั้นมี 2 คนที่มีไข้สูง จึงตองอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์ รพ.ศรีนครินทร์ และได้มีการตรวจสอบหาการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งจากการตรวจสอบ 2 ครั้งพบว่า ผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 ราย นั้นผลการตรวจเป็นลบไม่ปรากฏว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา และวันนี้ได้อนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ต้องอยู่ในการดูแลและควบคุมจองทีมแพทย์ ตามมาตรการกักกันและควบคุมโรค ซึ่งในการกักกันและควบคุมโรค 14 วันนั้น ทั้ง 59 คนนั้นต้องอยู่ในห้องพักโดยห้ามไม่ให้ออกไปไหน โดยมีการขอความร่วมมือไปยังผู้ที่พักอาศัยด้วยกันให้ออกจากห้องพักเดียวกันในระยะนี้ออกไปก่อน และหากผู้ที่จะส่งข้าว ส่งน้ำ ก็ขอให้ปฎิบัติตัวอย่างรัดกุมและรับคำชี้แนะจากทีมแพทย์ตามขั้นตอนความปลอดภัยสูงสุด”
ผวจ.ขอนแก่น กล่าวต่ออีกว่า ยอมรับว่าทุกคนตระหนกและตื่นกลัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก แต่เพื่อความถูกต้อง ชัดเจน และรวดเร็ว จึงขอให้มีการตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานราชการเท่านั้น ซึ่งขณะนี้จังหวัดได้แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3ส่วน คือเรื่องการสอบถามสถานการณ์หรือข้อมูลทั่วไปรวมทั้งวิธีการป้องกันตัวหรือวิธีในการปฎิบัติต่างๆผ่านสายด่วน 1422 กรมควบคุมโรค,การสอบถามสถานการณ์หรือเฝ้าติดตามเหตุการณ์ในพ้นที่และการแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่างๆ สามารถโทรศัพท์มาที่สายด่วน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น ที่หมายเลข 083-1472525 และสุดท้ายคือการเปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารกันระหว่างทีมแพทย์ ทีมสาธารณสุขและประชาชน ในเรื่องของไวรัสโคโรนา ด้วยการที่จังหวัดจะตั้งไลน์กลุ่มชื่อ “ศูนย์เฝ้าระวังโรคติดต่อขอนแก่น” เพื่อเป็นช่องทางกลางในการติดต่อสื่อสารในเรื่องดังกล่าวนี้ในระดับพื้นที่
“จังหวัดยืนยันในมาตรการทั้งป้อกัน และควบคุม รวมทั้งรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวที่พร้อมต่อการเผชิญเหตุตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง ซึ่งขณะนี้มีประชาชนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศหรือกลุ่มคนที่ต้องสงสัยว่าติดเชื้อ มาขอรับการตรวจร่างกายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเม อเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการจะต้องปฎิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยในภาพรวมอย่างสูงสุด ผู้ที่พบเห็นอาจจะตกใจจนกลายมาสู่การให้ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามทางจังหวัดจะมีการขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานในจังหวัดทุกหน่วยงานในการขอความร่วมมืองดการเดินทางไปต่างประเทศในระยะนี้ด้วย”
นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า ยังคงยืนยันว่าขณะนี้พื้นที่ จ.ขอนแก่น ยังคงไม่พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หรือ K-19 ในพื้นที่แต่อย่างใด ซึ่งจากกระแสข่าวต่างๆที่เกิดขึ้น ขอให้ประชาชนในพื้นที่นั้นได้ตรวจสอบข้อมูลที่แท้จริงกับทางราชการ เพราะทุกอย่างนั้นมีขั้นตอนในการปฎิบัติเพื่อป้องกันตัวเองของผู้ปฎิบัติงานและผู้ป่วยด้วย ซึ่งโนรงพยาบาลของรัฐและเอกชนในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ทุกโรงพยาบาลมีห้องกักันและควบคุมโรคสำหรับการรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าวและมีบุคลากรที่เตรียมพร้อมต่อการรับต่อสถานการณ์ต่างๆในพื้นที่ตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง ซึ่งจากเหตุการณ์ที่คณะอาจารย์และนักศึกษา มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่เดินทางกลับมาจากประเทศเกาหลีใต้นั้น พบว่ามีทั้งหมด 59 คน แยกเป็นคณาจารย์และนักศึกษาที่ไปดูร่วมโครงการฯ 57 คน และ คณาจารย์ที่ไปประชุมวิชาการ 2 คน ซึ่งเมื่อกลับมาถึง มข.แล้ว ก็เข้าสู่ขั้นตอนของการปฎิบัติคือการตรวจร่างกายตามขั้นตอน ซึ่งพบว่าในจำนวน 59 คนนั้นมี 2 คนที่มีไข้สูง จึงตองอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์ รพ.ศรีนครินทร์ และได้มีการตรวจสอบหาการติดเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งจากการตรวจสอบ 2 ครั้งพบว่า ผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 ราย นั้นผลการตรวจเป็นลบไม่ปรากฏว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา และวันนี้ได้อนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ต้องอยู่ในการดูแลและควบคุมจองทีมแพทย์ ตามมาตรการกักกันและควบคุมโรค ซึ่งในการกักกันและควบคุมโรค 14 วันนั้น ทั้ง 59 คนนั้นต้องอยู่ในห้องพักโดยห้ามไม่ให้ออกไปไหน โดยมีการขอความร่วมมือไปยังผู้ที่พักอาศัยด้วยกันให้ออกจากห้องพักเดียวกันในระยะนี้ออกไปก่อน และหากผู้ที่จะส่งข้าว ส่งน้ำ ก็ขอให้ปฎิบัติตัวอย่างรัดกุมและรับคำชี้แนะจากทีมแพทย์ตามขั้นตอนความปลอดภัยสูงสุด”
ผวจ.ขอนแก่น กล่าวต่ออีกว่า ยอมรับว่าทุกคนตระหนกและตื่นกลัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก แต่เพื่อความถูกต้อง ชัดเจน และรวดเร็ว จึงขอให้มีการตรวจสอบข้อมูลกับหน่วยงานราชการเท่านั้น ซึ่งขณะนี้จังหวัดได้แบ่งการดำเนินงานออกเป็น 3ส่วน คือเรื่องการสอบถามสถานการณ์หรือข้อมูลทั่วไปรวมทั้งวิธีการป้องกันตัวหรือวิธีในการปฎิบัติต่างๆผ่านสายด่วน 1422 กรมควบคุมโรค,การสอบถามสถานการณ์หรือเฝ้าติดตามเหตุการณ์ในพ้นที่และการแจ้งเบาะแสหรือข้อมูลต่างๆ สามารถโทรศัพท์มาที่สายด่วน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น ที่หมายเลข 083-1472525 และสุดท้ายคือการเปิดช่องทางการติดต่อสื่อสารกันระหว่างทีมแพทย์ ทีมสาธารณสุขและประชาชน ในเรื่องของไวรัสโคโรนา ด้วยการที่จังหวัดจะตั้งไลน์กลุ่มชื่อ “ศูนย์เฝ้าระวังโรคติดต่อขอนแก่น” เพื่อเป็นช่องทางกลางในการติดต่อสื่อสารในเรื่องดังกล่าวนี้ในระดับพื้นที่
“จังหวัดยืนยันในมาตรการทั้งป้อกัน และควบคุม รวมทั้งรับมือกับเหตุการณ์ดังกล่าวที่พร้อมต่อการเผชิญเหตุตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง ซึ่งขณะนี้มีประชาชนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศหรือกลุ่มคนที่ต้องสงสัยว่าติดเชื้อ มาขอรับการตรวจร่างกายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเม อเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจเจ้าหน้าที่ที่ให้บริการจะต้องปฎิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยในภาพรวมอย่างสูงสุด ผู้ที่พบเห็นอาจจะตกใจจนกลายมาสู่การให้ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามทางจังหวัดจะมีการขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานในจังหวัดทุกหน่วยงานในการขอความร่วมมืองดการเดินทางไปต่างประเทศในระยะนี้ด้วย”