อนค.ฟุ้งมีเรื่องแฉอีกเพียบ ปูดทุจริต“1MDB” ช่อท้าตู่ฟ้อง-เปิดศึกซักฟอก6รมต.-ฝ่ายค้านเฉ่งทำปท.พัง-นายกฯสวนกลับเดือด ซักฟอกวันแรกเดือด! “สมพงษ์” ประเดิมคนแรก ซัด“นายกฯ-5รมต.”ไม่ไว้หน้า อัด“ไม่ยึดมั่น-ศรัทธาประ ชาธิปไตย-มองคนเห็นต่างเป็นศัตรู-ทุจริต-แทรกแซง-ฉ้อฉล” เฉ่งบริหารประเทศล้มเหลว5ข้อ ยันไม่อาจไว้วางใจบริหารประเทศต่อได้ ด้าน “บิ๊กตู่” แจงยึดมั่นประชาธิปไตย พร้อมยกเหตุการณ์ หลังปี 57 ต้นเหตุเล่นการเมือง-สางปัญหาให้เกิดความเรียบร้อยก่อนนำสู่การเลือกตั้ง ย้ำหลายเรื่องไม่เคยเกิดในปท. พร้อมยกเคส“ผมอยู่ไม่ได้ ประเทศก็อยู่ไม่ได้–ถุงขนมย้ำยีอำนาจตุลาการไม่ยอมติดคุก นิรโทษกรรม” โวย“เพื่อไทย”ชี้แจงง่ายๆ ยังไม่เข้าใจ ก็ยากที่จะชี้แจงต่อไป ด้าน“ช่อ”ไม่สนท้า“บิ๊กตู่” ฟ้องกลับ หลังปูด “รัฐบาล” เอี่ยวทุจริตคดี“กองทุน 1MDB”ขู่มีเรื่องแฉอีกเพียบ ยันไม่ใช่การแก้แค้นปมยุบอนค. ขณะที่ “นายกฯ” สั่งฝ่ายเกี่ยวข้องตรวจสอบ พร้อมระบุฟ้องแน่ ขณะที่“สตช.”ลุยถอดเทปคำแถลง“ช่อ”ทั้งหมด ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 24 ก.พ.63 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่(อคน.) กล่าวหารัฐบาล อาจมีส่วนเกี่ยวข้องคดีทุจริต 1MDB ว่า ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ ถ้าไม่จริงก็ฟ้องไป อันไหนฟ้องได้ก็ต้องฟ้อง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ กล่าวว่า ทางโฆษกรัฐบาลก็บอกแล้วว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดี ส่วนจะต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวคณะอนาคตใหม่เป็นพิเศษหรือไม่นั้นยืนยันว่า เราจับตาทุกฝ่าย ถ้าทำผิดกฎหมาย ก็ว่ากันไป เราทำตามกฎหมายทุกอย่าง ใครที่ดีทำถูกฎหมายก็ไม่ต้อง อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากนายโจ โลว์ นักการเงินคนสนิทของนายนาจิบ ราซัก อดีตนายกฯมาเล เซีย ซึ่งเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตกองทุน 1MDBเข้ามาประเทศไทยก่อน และเมื่อออกไปจากประเทศไทยอินเตอร์โพลจึงค่อยประกาศออกมา ยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องชี้แจงอะไรเพิ่มเติม เพราะไม่มีอะไร ขณะที่ พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของคณะอนาคตใหม่ ในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า ต้องจับตาดู ซึ่งตราบใดที่ไม่ได้ไปพาดพิงในแง่ผิดกฎหมายก็ทำได้ อย่างไรก็ตาม หากน.ส.พรรณิการ์ อภิปรายนอกสภา โดยพาดพิงหลายประเด็น และ โยงไปถึงต่างชาติ ก็ต้องไปดูหลักฐาน พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผบ.ตร. กล่าวว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบถ้อยคำที่แถลงทั้ง หมดว่าเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะเป็นการกล่าวหา พาดพิงให้ร้ายรัฐบาล หน่วยงานรัฐ และเจ้าหน้าที่หลายราย ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือขององค์กรและเกิดความสับสนแก่ประชาชน ส่วน น.ส.พรรณิการ์ กล่าวถึงกรณีรัฐบาลเตรียมฟ้องกลับหลังออกมาระบุว่า รัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตกองทุน 1MDB ว่า เรื่องนี้น่าผิดหวังสำหรับรัฐบาล เพราะตนต้องการให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการถูกฟ้องร้อง อย่างไรก็ตาม มั่นใจในหลักฐานที่นำมาเปิดเผย เพราะหากไม่มีหลักฐานจะไม่พูด “เรื่องการฟ้องร้อง พร้อมเข้าสู่กระบวนการ และไม่กลัว ไม่เช่นนั้นคงไม่เดินมาถึงขั้นนี้ และไม่ใช่การแก้แค้นที่ถูกยุบพรรคอนาคตใหม่ จึงออกมาเปิดเผย และเป็นเรื่องที่เตรียมไว้เพื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจอยู่แล้ว แต่เมื่อกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง และเป็นเนื้อหา ที่ไม่สามารถเปลี่ยนตัวผู้อภิปรายได้ จึงเปิดอภิปรายนอกสภา ซึ่งเรื่องนี้ในสภาฯ ก็จะไม่มีอภิปรายแล้ว โดยเป็นแค่ 1 ใน 10 เรื่องเท่านั้น ทั้ง 10 เรื่อง ไม่มีเรื่องใดเป็นเรื่องเบาๆ หรือเป็นเรื่องที่กล่าวหาลอยๆ ทุกเรื่องมีหลักฐานครบและต้องสานต่อให้เสร็จด้วยการเปิดเผยต่อสาธารณะ” วันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯกล่าวถึงกระแสข่าวการปรับ ครม.หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า ตนไม่ทราบ ไม่รู้และยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ ติดต่อขอเข้ามาร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ส่วน ที่รัฐสภา เวลา 13.30 น. นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานในการประชุมเพื่อพิจาร ณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี เป็นรายบุคคล ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญปี 60 มาตรา 151 จำนวน 6 คน ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ,พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ, พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ,นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ,นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ,ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ นายชวน แจ้งต่อที่ประชุมว่า รัฐมนตรีไม่มีสิทธิ์ชี้แจงแทนนายกฯ นอกจากนายกฯจะมอบหมายให้ตอบแทนเท่านั้น และการอภิปรายครั้งนี้ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครองเนื่องจากมีการถ่ายทอดสด ฉะนั้นหากพาดพิงบุคคลภายนอกต้องรับผิดชอบเอง จากนั้น นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน ได้ลุกขึ้นอภิปรายเป็นคนแรก พร้อมทั้งตั้งข้อกล่าวหาเป็นรายบุคคล โดยกล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้ไม่ยึดมั่นและศรัทธาต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ล้มล้างรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ กระทำการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการ ซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจที่ได้มาโดยไม่ชอบธรรม ละเมิดหลักนิติธรรมและสิทธิเสรีภาพของบุคคลอย่างกว้างขวาง เป็นผู้นำประเทศที่กร่างเถื่อน มองคนเห็นต่างเป็นศัตรู ปิดปากผู้ที่มีความเห็นต่าง ชอบก่นด่าเมื่อถูกซักถาม ขณะที่พล.อ.ประวิตรไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ แสวงหาประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง ใช้งบประมาณของรัฐเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเอง มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่วนนายวิษณุมีหน้าที่รับผิดชอบด้านกฎหมาย ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่เข้าไปก้าวก่าย บังคับใช้และตีความกฎหมายโดยไม่ยึดหลักการและบรรทัดฐานที่ถูกต้อง จนทำให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นเรื่องของอภินิหาร ชี้นำการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐและองค์กรอิสระและไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า พล.อ.อนุพงษ์บริหารผิดพลาดบกพร่องอย่างร้ายแรง ล้มเหลว ไร้ประสิทธิ ภาพ มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ ฉ้อฉล ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง บริวารและพวกพ้อง กลั่นแกล้งข้าราชการประจำ ก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ประจำของข้าราชการและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อประโยชน์ตนเองและพวกพ้อง ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตขณะที่นายดอน บริหารราชการแผ่นดินผิดพลาดบกพร่องอย่างร้ายแรง ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ขาดคุณธรรมและจริย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทข้ามชาติ ส่อว่าจงใจปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย นำพาชาติเข้าสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และร.อ.ธรรมนัสผิดพลาดบกพร่องอย่างร้ายแรง ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ขาดคุณธรรมและจริยธรรม ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เข้าสู่ตำแหน่งโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล ปกป้องพวกพ้องโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศ นายสมพงษ์ กล่าวว่า วันนี้ ไม่อาจให้บริหารประเทศต่อไปได้ เนื่องจากไร้ประสิทธิภาพ ล้มเหลวในการบริหารประเทศ การทุจริต เอื้อประโยชน์พวกพ้อง การใช้อำนาจโดยมิชอบ ก่อให้เกิดความล้มเหลว 5 ประการต่อประเทศได้แก่ 1.ความล้มเหลวต่อการสร้างความเชื่อมั่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตย2.ความล้มเหลวในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ 3.ความล้มเหลวการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ4.ล้มเหลวปราบปรามการทุจริต5.ล้มเหลวในภาวะความเป็นผู้นำของนายกฯ ทำให้ประเทศมีนายกฯเป็นตัวตลก น่าอับอายต่อนานาประเทศ การแสดงวิสัยทัศน์และความเห็นต่างๆ แสดงถึงความด้อยซึ่งปัญญา ไม่เหมาะสมหลายครั้ง เช่น การทุบโต๊ะ โยนของใส่ผู้สื่อข่าว มองเห็นคนเห็นต่างเป็นศัตรู ท่ามกลางความล้มเหลวต่อความเชื่อมั่นของประชาชนจึงไม่อาจไว้วางใจให้บริหารประ เทศ ทำให้ลูกหลานในอนาคต ต้องรับมอบประเทศไทยที่เป็นซากปรักหักพังต่อจากคนรุ่นเรา ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ ลุกขึ้นชี้แจงว่า ในขั้นต้นเรื่องที่ไม่วางใจตนมีหลายเรื่องตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่ไม่โกรธ อย่างไรก็ตามส.ส.ทั้งหลายรวมถึงตน ก็ผ่านการเลือกของประชาชน โดยได้คะแนนเสียงโหวตเลือกนายกฯ เกิน 250 เสียง ซึ่งมากกว่าฝ่ายค้าน ที่ไม่มีส.ว.มาร่วมโหวตด้วย ส่วนข้อกล่าวหาว่าตนไม่ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น ตนไม่เคยมีความคิดแบบนี้เลย แต่ต้องมองย้อนกลับไปก่อนวันที่ 22 พ.ค.57 ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุการณ์ในปี 53 เกิดอะไร นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ตนเข้ามาอยู่ตรงนี้ จำเป็นต้องแก้ปัญหาให้เกิดความเรียบร้อยก่อนนำสู่การเลือกตั้ง นอกจากนั้น สิ่งที่ตนกังวลในตอนนั้นคือการโกง ลองย้อนกลับไปดูว่ามีจำนวนเยอะหรือไม่ ลองตอบในใจดู ไม่ต้องตอบดังๆ และมีเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศหลายอย่าง การทำลายอำนาจตุลากการ ซึ่งชาวบ้านยอมรับ ยอมติดคุก แต่บางคนไม่ยอมติดคุก อย่างเรื่องถุงขนม ประชาชนก็ลองเปรียบเทียบดู ซึ่งกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 เพื่อประโยชน์ใครไม่ทราบ รวมถึงการนิรโทษกรรม โครงการรับจำนำข้าว ใครทำก็ไม่รู้ “ส่วนที่มีการกล่าวหาว่าผมใช้อำนาจโดยไม่ชอบธรรม ผมไม่เคยไปก้าวล่วงใคร หรือจับติดคุกโดยปราศจากหลักฐานและข้อเท็จจริง ท่านไม่เป็นธรรมกับผม ผมไม่เคยว่า ผมก็อารมณ์เย็นตลอด ในอดีต จ.ภูเก็ตและนครสวรรค์ก็โดนมาแล้ว ถ้าไม่เลือกเราก็ไม่ได้โครงการ หรือที่มีบางคนพูดว่า ผมอยู่ไม่ได้ ประเทศก็อยู่ไม่ได้ ใครพูดก็ไม่รู้ ดังนั้นถ้าไม่มีพยานหลักฐาน ก็ลงโทษคนทำผิดไม่ได้” นายกฯ กล่าวต่อว่า ส่วนที่บอกว่าเศรษฐกิจมีปัญหา ต้องถามว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้น หลายคนนั่งอยู่ตรงนี้ก็ ทราบดี เพราะนั่งอยู่กับตนด้วย แล้วใครถูกตี ถูกทุบรถ เรื่องเหล่านี้ต้องไม่ให้เกิดขึ้นอีก หากท่านจะตอบโต้ก็เอาหลักฐานมายืนยันแล้วกัน ทั้งนี้ในเรื่องมาตรา 44 จะเอาไปแกล้งข้าราชการทำไมวันนี้ไม่มีแล้ว ที่ผ่านมาเอาไว้แก้ปัญหาเช่น องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ หรือ ไอเคโอ และการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม หรือ ไอยูยู ซึ่งก็ทำสำเร็จไม่ใช่ เอาไว้ทำนู้นทำนี้ แต่ใช้ในการบูรณาการหรือแก้ปัญหา แล้วที่บอกว่าตนสืบทอดอำนาจ ไม่ว่าใครพูดก็แล้วแต่ มันเป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ตนไม่ได้ไปนั่งร่วมร่างด้วย เพียงแต่ส่งความเห็น กรธ.ได้ข้อสรุปอย่างไรก็ปฏิบัติตามนั้น และ 5 ปี 7 เดือน ที่อยู่ในตำแหน่ง ลองนึกดูว่า มีคดีทุจริตกี่คดี ที่ผ่านมาเคยมีการแก้ไขหรือไม่ในกระบวนการยุติธรรม การทำงานของตนทำตามขั้นตอนกฎหมาย ไม่ใช่ไปนั่งหัวโต๊ะแล้วสั่ง ไม่ก้าวล่วงอำนาจเขาเลย เพราะทุกกระทรวงมีกฎหมายอยู่ อย่างไรก็ตามที่บอกว่า ตนเอื้อประโยชน์ให้ใครนั้น เป็นการวิเคราะห์ วิจารณ์ หรือคาดกราณ์กันไป แล้วที่บอกว่ารัฐบาลใช้โครงการประชานิยม แต่ตนเรียก tailor made หรือมี่แปลว่าช่างตัดเสื้อ คือแก้ปัญหาให้กับประชาชนแต่ละกลุ่มที่มีรายได้น้อย ซึ่งเราต้องดูแลเรื่องนี้ ซึ่งกระทรวงการคลังสามารถชี้แจงได้ รวมถึงเรื่องการต่อสัญญาสัมปทานทางด่วน BEM เรื่องนี้เกิดมาตั้งแต่สมัยไหน มีการให้สัมปทานมา 30 ปีแล้ว ซึ่งตนก็ต้องแก้ไข เพราะมีกรณีฟ้องร้อง ทั้งนี้ตนเป็นทหาร ต้องรักษาสัตย์ รักษาจิตใจของตนเอง และต้องการให้การอภิปราบเป็นประโยชน์ เมื่อชี้แจงอะไรก็ให้กรุณาฟัง หลังจากนั้น นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.เพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงว่า นายกฯ กล่าวคำเท็จในสภาที่ระบุว่า ไม่ได้ใช้เสียงวุฒิสภา เพราะความจริงแล้วในวันโหวตนายกฯเป็นการประชุมรัฐสภา ดังนั้นจึงถือเป็นการพูดเท็จ แต่ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาฯ กล่าวชี้แจงว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ทำผิดข้อบังคับใดๆ จากนั้นพล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าชี้แจงง่ายๆยังไม่เข้าใจ ก็ยากที่ตนจะชี้แจงต่อไป ก็ขอยุติเท่านี้ แต่เพียงเท่านี้ โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังพล.อ.ประยุทธ์ พูดจบ ได้ยิ้มและนั่งลง