กลุ่ม ปตท.ลงทุน 5 ปี 9 แสนล้านบาท เน้นความมั่นคงพลังงานและรองรับนวัตกรรมที่รองรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง ร่วมกระตุ้นจีดีพี ร้อยละ 0.2-0.3 ระบุปันผลปี 62 สูงสุดร้อยละ 62.5 ของกำไรสุทธิ เพื่อเพิ่มเงินในกระเป๋าผู้ถือหุ้นลดผลกระทบเศรษฐกิจ พร้อมช่วยลดราคาแอลพีจีสำหรับผู้มีรายได้น้อยต่อเนื่องถึงสิ้นเดือนมิ.ย.63 นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า ปตท.เตรียมแผนการลงทุนปี 2563-2567 วงเงินรวม 180,814 ล้านบาท และจัดเตรียมงบลงทุนในอนาคต (Provisional Capital Expenditure) ในระยะ 5 ปีข้างหน้า จำนวน 203,583 ล้านบาท และหากรวมกับบริษัทในกลุ่มทั้งหมดจะมีเม็ดเงินลงทุนปี 5 ปีข้างหน้ารวม 900,000 ล้านบาท เป็นเงินลงทุนในต่างประเทศต่อในประเทศประมาณร้อยละ 50-60 ต่อ 50-40 ซึ่งจะเป็นส่วนของการกระตุ้นเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 0.2-0.3 ของจีดีพีของประเทศไทย สำหรับการลงทุนจะเน้นด้านความมั่นคงพลังงานและการรองรับนวัตกรรมที่รองรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการดูแลภาคประชาชน ด้านราคาน้ำมันยังคงเป้าหมายขึ้นช้า-ลงเร็ว เพื่อแบ่งเบาภาระประชาชน โดยปีนี้คาดราคาน้ำมันดูไบเฉลี่ย 60ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ลดลงจากปี 2562 ที่ราคาเฉลี่ย 63 ดอลลาร์/บาร์เรล และล่าสุดคณะกรรมการ ปตท.ได้อนุมัติการบริจาคเงินเข้ากองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมในรูปแบบส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 50 บาท/คน/เดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-30 มิ.ย.63 โดยใช้งบดำเนินงาน 30 ล้านบาท นอกจากนี้ เพื่อช่วยให้ผู้ถือหุ้นมีเงินในการจับจ่ายใช้สอยในภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก คณะกรรมการ ปตท.จึงได้อนุมัติปันผลจากผลประกอบการปี 2562 ในสัดส่วนสูงที่สุดตั้งแต่มีการกระจายหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล (Payout ratio) ร้อยละ 62.5 ของกำไรสุทธิ และอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) ที่ร้อยละ 4.5 โดยปันผลทั้งสิ้น 2 บาท/หุ้น รวมเป็นเงิน 57,126 ล้านบาท ทั้งนี้ส่งผลให้กระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และกองทุนวายุภักษ์จะได้รับเงินปันผล รวมประมาณ 36,145 ล้านบาท เพื่อเป็นเงินงบประมาณของประเทศนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งสามารถสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านเงินปันผล 20,981 ล้านบาท ให้นักลงทุนสถาบันและผู้ถือหุ้นรายย่อยกว่า 130,000 ราย อย่างไรก็ตามหากเมื่อรวมเงินปันผลและภาษีเงินได้ของกลุ่ม ปตท.ปี 2562 แล้ว กลุ่ม ปตท.นำเงินส่งรัฐรวม 70,259 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการปี 2562 ปตท.และบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและให้บริการรวม 2.2 ล้านล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 92,951 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.2 ของรายได้ ปรับลดลงร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาตามสภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เนื่องมาจากผลกระทบของสงครามทางการค้าโลก ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคชะลอตัวและส่งผลให้ส่วนต่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปและราคาน้ำมันดิบ และส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับลดลง ขณะเดียวกันปัจจัยภายในประเทศ เงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อการส่งออกและอุตสาหกรรมทั้งภาคการผลิตและภาคขนส่ง ส่งผลให้ปริมาณความต้องการพลังงานและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไม่เติบโตตามเป้าหมาย รวมถึงปริมาณการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีและการกลั่นที่ลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุงขนาดใหญ่ประจำงวดตามแผนของกลุ่มปิโตรเคมีและการกลั่น และค่าใช้จ่ายชดเชยพนักงานเพิ่มเติม โดยเปลี่ยนการคิดค่าจ้างอัตราสุดท้ายจาก 300 วัน เป็น 400 วัน ตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ ส่งผลให้กลุ่ม ปตท.มีค่าใช้จ่าย 4,219 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปี 2563 คาดว่าผลการดำเนินการโดยรวมจะดีขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว หลังจากมาร์จิ้นไตรมาส 4 /2563 อยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก ประกอบกับ ปีนี้ปริมาณการผลิตของกลุ่มโรงกลั่นฯ และปิโตรเคมีจะดีขึ้น เพราะไม่มีการปิดซ่อมบำรุงใหญ่เหมือนปีที่แล้ว และเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวนเพิ่มขึ้น ปตท.ได้กำหนดให้ ทั้งโรงกลั่นและปิโตรเคมีในเครือปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตดีขึ้น จากที่ปี 2562 มูลค่าการปรับปรุงประสิทธิภาพรวมกันได้ 29,721 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2561 ที่ร้อยละ 22 รวมทั้งกลุ่ม ปตท.ได้ดำเนินการ PROJECT ONE ในการสร้างพลังร่วมของกลุ่ม และบริหารจัดการตลอดห่วงโซ่ธุรกิจให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดร่วมกัน นอกจากนี้ท่ามกลางความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอกและภายในไม่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย กลุ่ม ปตท.ได้แสวงหาโอกาสในขยายการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานก๊าซธรรมชาติรองรับการเติบโตของการผลิตไฟฟ้า การขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศผ่านการร่วมลงทุนหรือการซื้อกิจการ รวมถึงการปรับพอร์ทการลงทุนโดยขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจต่างๆ ตลอดห่วงโซ่คุณค่าตามทิศทางกลยุทธ์การลงทุนที่สอดรับกับแนวโน้มอนาคตไปสู่พลังงานสะอาดและผลิตภัณฑ์เคมีมูลค่าสูง และช่วยลดผลกระทบจากความผันผวนของราคาตลาดโลก “ปตท.ในฐานะบริษัทพลังงานของคนไทยยังคงขับเคลื่อนองค์กรทุกมิติอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานของชาติ สร้างความแข็งแกร่ง และเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจภายใต้ความท้าทายที่เกิดขึ้น ควบคู่ไปกับการดูแลสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ให้เกิดความยั่งยืน และพร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อก้าวสู่การเป็นไทยแลนด์ 4.0”