นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปัตย์ต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวว่า หลังเหตุระเบิดมีการไล่ควบคุมตัวบุคคลในพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะฝ่ายเห็นต่างกับผู้มีอำนาจ โดยที่คนในครอบครัวไม่มีโอกาสติดต่อและไม่ทราบชะตากรรม รัฐบาลชี้แจงว่าไม่ได้คุมตัวในฐานะผู้ต้องหา เป็นการเชิญมาสอบหาข้อมูลตามอำนาจมาตรา 44 แต่วิธีปฏิบัตินั้นยิ่งกว่าจำเลยคดีอาญา เพราะจำเลยทั่วไปมีสิทธิ์ใช้ทนายความ แต่กรณีนี้ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะรู้ว่าทำผิดอะไร ทั้งนี้ แม้จะมีอำนาจคุมตัวไว้ 7 วัน แต่ขอเรียกร้องให้ปล่อยตัวคนเหล่านี้ทันทีที่ชัดเจนว่าไม่เกี่ยวข้อง เพราะมีแนวโน้มว่าสอบเสร็จแล้วก็ยังจะกักตัวไว้จนครบเวลาเพื่อรักษาหน้าของฝ่ายรัฐไม่ให้ถูกมองว่าจับไปได้ไม่นานก็ต้องปล่อยเพราะหลงทาง จับแต่ผู้บริสุทธิ์ นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯระบุว่า เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาในการทำงาน อย่าไปกดดันนั้น ไม่เห็นจริงๆ หรือว่า ตั้งแต่เกิดเหตุใครไปกดดันอะไรบ้าง มีแต่คนในรัฐบาลกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ที่ออกมาฟันธงว่าสาเหตุจากเรื่องประชามติ ปั่นกระแสจนคนสับสน ตอบโต้กันไปมา มีปัญญาห้ามคนพวกนี้ไหม เพิ่งเกิดเหตุยังไม่มีหลักฐานแต่ปล่อยให้พูดกันไปแล้วว่าเพราะฝ่ายไม่รับร่างไม่พอใจ พอตอนนี้ชัดเจนว่าโทรศัพท์ที่ก่อเหตุมาจากมาเลเซีย วัสดุที่ใช้และวิธีประกอบระเบิดเป็นแบบเดียวกับชายแดนใต้ ระเบิดที่จ.ยะลาเมื่อวาน(14ส.ค.)ก็เป็นแบบเดียวกัน คสช.ยังยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับ 3 จังหวัดภาคใต้ ถามว่ามาตรฐานการทำงานอยู่ตรงไหน หน่วยงานของรัฐทำงานตามกำนันหรือตามหลักฐาน แล้วประชาชนยังเชื่อถือและให้ความไว้วางใจวิธีทำงานแบบนี้ได้หรือไม่ "ผมไม่ทราบว่าใครก่อเหตุจึงไม่กล่าวหากลุ่มใด แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำงานด้วยความโปร่งใสและกล้าพูดความจริงกับประชาชน ไปไล่จับเขามา พอถูกถามว่าเกี่ยวข้องยังไงก็อึกอักตอบไม่ได้ นานไปจะกลายเป็นว่าอำนาจรัฐปกปิดความจริงและปกป้องผู้กระทำผิดตัวจริงเสียเอง แล้วจะรับผิดชอบยังไง" นายณัฐวุฒิ กล่าว.