วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ บช.ปส. พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ , พล.ต.ต.สรไกร พูลเพิ่ม , พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์, พล.ต.ต.มงคล วรุณโณ รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.กฤษณ์ วาฤทธิ์ ผบก.ปส.1 พล.ต.ต.วัชรินทร์บุญคง ผบก.ปส.2 พล.ต.ต.วัชระ ทิพย์มงคล ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.วุฒิพงษ์ นาวิน ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.บัณฑิต ทิศาภาค ผบก.สกส.,พล.ต.ต.ภาณุวิชญ์ ทองยิ้ม ผบก.อก.บช.ปส., พล.ต.ต.หญิง วนิดา หาญบุญเศรษฐ ผบก.ประจ า บช.ปส., และ พ.ต.อ.พิศาล เอิบอาบ รอง ผบก.ฯ รรท.ผบก.ขส.พ.ต.อ.ธีรเดช ธรรมสุธีรย์ รอง ผบก.ปส.3/โฆษก บชปส. พล.อ.ธีรวัฒน์ บุณยะวัฒน์ เลขาธิการ กอ.รมน. พล.ท.กิตติธัช บุพศิริ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 2 กอ.รมน. สำนักงาน ปปส. โดย นายนิยม เติมศรีสุข เลขาธิการ ป.ป.ส., พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองเลขาธิการ ป.ป.ส., นายอดุล ประยูรสิทธิผอ.ปปส.ภ.4 ,นายบัญชา โทสมัย ผอ.สปป.แถลงข่าวจับกุม นายเมธาสิทธิ์ หรือ เม อายุ 42 อยู่บ้านต.หนองไม้แก่น อ.แปลงยาว จ.ระยอง และ นายเริงศักดิ์หรือตุ้ย อายุ 46 ปี อยู่บ้านม.3 ต.บางโปรง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ พร้อมของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) จำนวน 200 แท่ง หนักรวมประมาณ 100 กก.,ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) หนักรวมประมาณ 500 กก. ,วัตถุออกฤทธิ์จิตและประสาท (เคตามีน) หนักรวมประมาณ 2 กก. รถยนต์กระบะยี่ห้อฟอร์ด สีขาว หมายเลขทะเบียน 1 กญ 2024 กรุงเทพฯ,รถยนต์กระบะยี่ห้อฟอร์ด สีแดง หมายเลขทะเบียน 3 กถ 5363 กรุงเทพฯ โดยกล่าวหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และมีวัตถุออกฤทธิ์ ต่อจิตและประสาทประเภท 2 (เคตามีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมายโดยจักุมได้ที่ด่านตรวจยาเสพติด อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร พล.ต.ท.ชินภัทร กล่าวว่าตามนโยบายรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2561 ให้ดำเนินการลดการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่ชุมชน,สถานศึกษา,โรงเรียนและสถานประกอบการ โดยให้ดำเนินการจับกุมผู้ค้ายาเสพติดรายย่อยในพื้นที่และข้อสั่งการของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2561 และวันที่ 29 ตุลาคม 2561 ได้สั่งการ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการบูรณาการสกัดกั้นการล าเลียงยาเสพติด และมาตรการดำเนินการกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด สำหรับพฤติการณ์แห่งคดีรายนี้กล่าวคือ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้สืบสวนทราบว่าผู้ต้องหาทั้งสองมีพฤติกรรมลำเลียงยาเสพติด โดยรับยาเสพติดจากเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านทางภาคกลาง และปลายทางที่ประเทศมาเลเซีย (ผ่านด่าน สะเดา) จึงได้ทำการสืบสวนติดตามพฤติการณ์กลุ่มเครือข่าย “กุ๊ก ระยอง” เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 63 ได้สืบสวนทราบว่า ผู้ต้องหาในเครือข่าย “กุ๊ก ระยอง” ขับรถยนต์2 คัน มุ่งหน้าไปทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงได้ติดตามพฤติกรรมจนไปถึง จ.หนองคาย ตรวจสอบแล้วทราบว่าผู้ต้องหาได้เดินทางข้ามพรมแดนไปยัง สปป.ลาว และกลับเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 63 คาดว่ามียาเสพติด ซุกซ่อนอยู่ในของผู้ต้องหาทั้งสอง จึงติดตามพฤติกรรมเพื่อทราบแหล่งที่พักยาเสพติด ตั้งแต่ เขตพื้นที่ จ.หนองคาย มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯ จนกระทั่งรถของผู้ต้องหาเดินทางเข้ามาในเขตกรุงเทพฯ พบว่ามีการนำรถมาจอดพักไว้ในตึกแถวบริเวณ ต.บางหญ้าแพรก อ.พระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ คาดว่าเป็นที่พักยาเสพติด จึงเฝ้าสังเกตพฤติกรรมเต่อมาเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 63 ชุดจับกุมพบว่ารถยนต์ผู้ต้องหาเดินทางออกจากตึกแถว ดังกล่าว มุ่งหน้าสู่ภาคใต้เชื่อว่าน่าจะเป็นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดไปส่งมอบให้ผู้รับในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ จึงประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปส.4 ด่านตรวจยานพาหนะชุมพร ทหารร่วมสกัดจับเพื่อตรวจค้นรถยนต์ ทั้งสองคัน ผลการตรวจค้นพบยาเสพติดเป็นเฮโรอีน จำนวนประมาณ 200 แท่ง รวมน้ำหนักประมาณ 100 กก. ซุกซ่อนอยู่ในรถเป้าหมายทั้งสองคันซึ่งมีการดัดแปลงตัวรถเป็นช่องลับ(เซฟ) อย่างดีจึงจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางเพื่อดำเนินคดี จากการสอบสวนขยายผลพร้อมนำตัวผู้ต้องหามาค้นห้องพักต้องสงสัย ในเขตพื้นที่ต.บางหญ้าแพรก อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ พบยาเสพติดเป็นไอซ์น้ำหนักประมาณ 500 กก.,เฮโรอีน 1 กก. และ เคตามีน น้ำหนักประมาณ 2 กก. จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาว่ารับยาเสพติดจากต้นทาง และล ำเลียงไปยังปลายทาง โดยได้รับค่าจ้างครั้งละ 50,000.-บาท/คน ทำมาแล้ว 5-6 ครั้ง นำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป