ผลพวงจากเหตุ “จ่าทหาร คลั่ง” ก่อโศกนาฏกรรม กราดยิงที่ โคราช สะเทือน เลื่อนลั่น ถึงทั้ง แม่ทัพภาค2 -ผบ.ทบ. -รมว.กลาโหม จนถึง “นายกรัฐมนตรี” เลยทีเดียว สะเทือนเก้าอี้ แม่ทัพภาค2 ของ “บิ๊กอิ๊ด” พล.ท. ธัญญา เกียรติสาร ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุด ของกองทัพภาค2 โดยเฉพาะเมื่อ “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ขู่จะโยกย้าย ทั้งนายพัน นายพล จนถึงแม่ทัพภาค หากพบว่ามีความผิด บกพร่อง แต่ที่สุด พล.อ.อภิรัชต์ ก็โยกย้าย แค่ระดับนายพัน แต่ในระดับนายพล ต้องรอดูในโผโยกย้ายกลางปี ที่กำลังจะคลอด ไม่เกินกลางมีนาคมนี้ แต่คาดว่า พล.ท.ธัญญา ซึ่งถือเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 21 ของ พล.อ.อภิรัชต์ ที่เรียน ทั้ง 2 รุ่น คือ คท.20 และ ตท.21 ด้วย จะยังคงนั่งแม่ทัพภาค2 ต่อ เพราะ พล.อ.อภิรัชต์ ระบุว่า ต้องให้ความเป็นธรรมไม่ใช่เลือดเข้าตา แล้วจะย้ายหมด แต่ที่แน่ๆ เหตุการณ์นี้สะเทือนเก้าอี้ ผบ.ทบ. ของ พล.อ.อภิรัชต์ อย่างแรง จนเกิดกระแสเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก แต่ พล.อ.อภิรัชต์ ยืนยันว่า เป็นเรื่องส่วนตัว และเป็นการก่ออาชญากรรม และไม่ได้เกิดจากการสั่งการในการปฏิบัติราชการทาง ดังนั้นจึงไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบ ด้วยการลาออก แต่จะรับผิดชอบด้วยการดูแล และเยียวยา ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ รวมทั้งการกล่าวคำขอโทษและแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และตามมาด้วยการยอมรับว่าจากการที่ผู้ก่อเหตุไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติจนเป็นสาเหตุหนึ่งของการก่อเหตุ และส่งผลตามมาคือการประกาศปฏิรูปกองทัพในทุกๆด้าน แต่ที่หนักหน่วง และสะเทือนไปถึงรัฐบาลและการเมือง คือ การประกาศ เรียกคืนบ้านหลวงจากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ระดับนายพลที่เกษียณราชการแล้วแต่ยังไม่ยอมย้ายออก ที่ทำให้ พี่ๆ 3 ป. “ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์” อดีต ผบ.ทบ. สะเทือนอย่างแรง แม้ของทัพบกจะมีข้อยกเว้นให้นายพลเกษียณ ที่เป็น นายกฯ , รัฐมนตรี ,สมาชิกวุฒิสภา และองคมนตรี อยู่บ้านหลวงต่อได้ เพราะถือเป็นผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้ประเทศชาติ ก็ตาม แต่สังคมภายนอกเห็นว่าไม่ควรต้องมีข้อยกเว้น ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ร้อนถึง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ต้องออกมาชี้แจง ถึงเหตุผลที่ยังต้อง พักอาศัย อยู่ในบ้าน ร.1รอ. ว่า “แต่ผมเองก็ทำงานรับใช้ชาติมาตลอดชีวิต ถึงแม้กฎระเบียบจะว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้ผมก็ยังทำงานอยู่ ปัญหาของผมคือ ผมเป็นนายกรัฐมนตรี มันมีปัญหาเรื่องการรักษาความปลอดภัย เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องมีสถานที่ที่เหมาะสมในเรื่องการ รปภ.ในฐานะเป็นผู้นำประเทศ และอื่นๆ อีกหลายๆ อย่าง แต่ผมก็เตรียมการไป อยู่บ้านของผมอยู่แล้ว” ส่วน “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นั้น ก็อ้อมแอ้ม ชี้แจงในตอนแรกๆ แค่ว่า ไม่ได้อยู่แล้ว คำว่าไม่ได้อยู่แล้วของ พล.อ.ประวิตร หมายถึงว่า ไม่ได้นอนพักค้างคืนที่ ร.1รอ. นี่แล้ว เพราะ พล.อ.ประวิตร ย้ายไปพักที่บ้านส่วนตัว ย่าน สุวินทวงศ์ มาหลายปีแล้ว แต่ทว่า ยังใช้ประโยชน์ จากบ้านหลังนี้ ในร.1รอ. เพราะได้จดทะเบียน จะตั้งเป็นมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ฯ คงเป็นที่พักชั่วคราวของ พล.อ.ประวิตร ตั้งแต่เช้า ยันเย็น เป็นสถานที่ประชุมอย่างไม่เป็นทางการและมักเป็นที่พบปะพูดคุยแบบ ว.5 เสมอๆ โดย พล.อ.ประวิตร จะเดินทางจากบ้านย่านสุวินทวงศ์ มาที่มูลนิธิฯแห่งนี้ตั้งแต่ยังไม่ 6 โมงเช้า มาทานข้าวเช้ากับเพื่อนๆเตรียมทหารรุ่น6 และน้องๆที่ช่วยทำงานในมูลนิธิฯ รวมถึงนายทหารที่ใกล้ชิด ทั้งมื้อเช้าและมื้อกลางวัน พล.อ.ประวิตร ไม่ชอบทานอาหารที่อื่น แต่ชอบกลับมาทานที่นี่เสมอ เมื่อเสร็จงานในแต่ละวันก็จะเดินทางกลับบ้านส่วนตัวที่สุวินทวงศ์ พล.อ. ประวิตร ชี้แจงว่า มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ได้ทำสัญญาเช่า กับกระทรวงการคลัง ถูกต้อง ตั้งแต่ เกษียณจาก ผบ.ทบ.15 ปีแล้ว อาจกล่าวได้ว่า มูลนิธิป่ารอยต่อฯของพล.อ.ประวิตร ไม่ใช่พื้นที่ส่วนหนึ่งของ ร.1 รอ. อีกต่อไป ส่วน “บิ๊กป๊อก” พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย และ อดีต ผบ.ทบ. กล่าวว่า ไม่ว่าจะมีกฎระเบียบออกมาอย่างไร ก็ต้องปฏิบัติตาม “ เดิมทีผม ก็ไม่ค่อยได้อยู่บ้านพักหลังนี้ แต่ตอนทำงาน เดินทางไม่ไหว เพราะไกล แต่ถ้ามีกฎระเบียบอย่างไรก็พร้อมปฏิบัติ” ทั้งนี้ พล.อ.อนุพงษ์ ระบุว่า เตรียมบ้านส่วนตัว ย่านพุทธณฑลไว้แล้ว แต่เพราะความสะดวก จึงยังอยู่ ไม่ได้มีจุดประสงค์ใด เพราะก็ มีบางคนที่เกษียณแล้ว แต่ไม่มีบ้านพักเป็นของตัวเอง กองทัพก็อนุโลม ให้อยู่จนกว่า จะมีบ้านเป็นของตัวเอง จากข้อมูลของ “บิ๊กเล็ก” พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ รอง ผบ.ทบ. ระบุว่า มีนายพลเกษียณ ที่ยังไม่ยอมย้ายออกจากบ้านพรรค มาถึง 100 หลัง แต่กระแสเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ยังไม่จบสิ้นยิ่งพุ่งเป้าไปที่พี่น้อง3 ป. ที่ยังคงใช้บ้านหลวง คาดการณ์ว่าอาจจะเป็นประเด็นที่ถูกนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจในสัปดาห์หน้า โดยมีการหยิบยก อดีตนายกรัฐมนตรีหลายคนก็อยู่บ้านส่วนตัวไม่มีใคร มาอยู่บ้านหลวง. เช่นบ้านพิษณุโลก แม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรีที่เป็นทหารก็ไม่ได้อยู่บ้านหลวง เช่น “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต. ยงใจยุทธ ก็พักที่บ้านปิ่นประภาคม จังหวัดนนทบุรี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เมื่อครั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ก็อาศัยอยู่บ้านส่วนตัวในสนามกอล์ฟรอยัล เฮ้าส์ย่านลาดกระบัง เหล่านี้จึงเป็นผลพวงจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่โคราชด้วยฝีมือทหารก็ย่อมต้องกระทบต่อกองทัพและต่อทหาร และเป็นแรงกดดันทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ ต้องรื้อระบบสวัสดิการของกองทัพบกใหม่ในทุกด้าน รวมถึงเงินนอกงบประมาณที่กองทัพบกได้รับจากกิจการสวัสดิการทั้งสนามม้า สนามมวย สนามกอล์ฟ อาคารรับรองปั๊มน้ำมัน ตลาดนัด ด้วยการทำบันทึกข้อตกลงกับกรมธนารักษ์กระทรวงการคลังเพื่อนำรายได้จากกิจการสวัสดิการเหล่านี้ส่งเข้ารัฐและนำรายได้ในส่วนกำไรส่วนหนึ่งแบ่งเข้ากองทุนสวัสดิการกองทัพบก ที่ถือว่าเป็นการทุบหม้อข้าวตัวเองและทำให้เรื่องเงินนอกงบประมาณจบสิ้นลงไปเพิ่มความโปร่งใสให้มากขึ้น ทั้งยังสามารถลดเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายการเมืองในเรื่องเงินนอกงบประมาณไปได้อีกด้วย พร้อมๆกันนั้นก็ยังทำให้พล.อ.อภิรัชต์ ได้รับเสียงชื่นชมในความกล้ายอมรับความจริง ปัญหาที่เกิดขึ้นในกองทัพ และยอมที่จะแก้ไข แม้จะต้องแลก กับปัญหาภายในกองทัพจากความไม่พอใจของหน่วยที่เคยเป็นเจ้าของกิจการสวัสดิการเหล่านี้ เคยมีรายได้เป็นของหน่วยเองเพื่อเอาไว้ดูแลกำลังพลก็ตาม และยังมีส่วนทำให้กระแสเรียกร้องให้พล.อ.อภิรัชต์ รับผิดชอบด้วยการลาออกแผ่วลงไป แต่ทว่าปฏิบัติการครั้งนี้ ของ พล.อ.อภิรัชต์ ก็สะเทือนไปทั่วทั้ง กองทัพทั้ง กระทรวงกลาโหม กองทัพไทย กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ที่ถูกเอกซเรย์ในเรื่องกิจการสวัสดิการต่างๆ แต่ทว่าเหล่าทัพอื่นเป็นเหล่าทัพเล็กกิจการสวัสดิการจึงไม่ได้เป็นที่แพร่หลาย หรือมีประชาชนมาใช้บริการ มากนักจึงอาจไม่เข้าข่าย ของกระทรวงการคลัง แม้ว่าแนวคิดเหล่านี้ พล.อ.อภิรัชต์ จะคิดไว้นานหลายปีแล้วก็ตาม แต่ก็เพิ่งจะมาเป็นจริงในช่วงการเป็น ผบ.ทบ. โดยมีโศกนาฏกรรมที่โคราชเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดได้เร็วขึ้น เพราะยังมีอีกหลายอย่างที่ควรจะต้องปฏิรูป !