คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย การแข่งขันประธานาธิบดีที่กำลังจะมีขึ้นในปี 2020 นี้ ปรากฏออกมาว่ามีมหาศรษฐีชาวอเมริกันคนหนึ่ง ใช้วิธีหาเสียงที่แปลกแหวกแนวอย่างที่นักการเมืองคนอื่นๆเลียนแบบได้ค่อนข้างยากส์นั่นก็คือ ควักกระเป๋าเอาเงินของเขาเองทั้งหมด มาลงทุนใช้หาเสียง นักการเมืองผู้นี้ก็คือ “ไมค์ บลูมเบอร์ก” มหาเศรษฐีชาวยิว วัย 78 ปี โดยเขาประสบความสำเร็จทางด้านธุรกิจมากมายหลายอย่าง จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จาก จอห์น ฮอพกินส์ และเอ็มบีเอ จากฮาร์วาร์ด!!! ไมค์ บลูมเบอร์ก เริ่มต้นธุรกิจทางด้านการบริการให้ข้อมูลด้านการเงินและข้อมูลต่างๆทุกๆประเภทที่ธุรกิจทั่วไปไม่ว่าจะเป็นธุรกิจทางการเงิน สื่อมวลชน และซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ ตามที่ตลาดต้องการ โดยเขาเริ่มต้นทำธุรกิจนี้กับเพื่อนๆเพียงไม่กี่คนหลังจากที่เขาถูกปลดออกจากงานเมื่อตอนที่เขาอายุ 39 ปี และเขาได้ใช้ชื่อของตนเองเป็นยี่ห้อแบรนด์เนมจนขณะนี้เขาสามารถขยายอาณาจักรแผ่ขยายไปหลายสิบประเภทดังเช่น Bloomberg BusinessWeek, Bloomberg Television, Bloomberg Markets, Bloomberg Opinion และ Bloomberg Politics เป็นต้น ขณะนี้ไมค์ บลูมเบอร์กมียอดทรัพย์สินมากกว่า 61 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเขาได้กลายเป็นมหาเศรษฐีติดอันดับคนหนึ่งของโลกอีกด้วย นอกเหนือจากที่ไมค์ บลูมเบอร์ก เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง เขายังเคยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรี แห่งนครนิวยอร์ก มาแล้วถึงสามสมัย โดยครั้งนั้นเขาก็ได้ทุ่มเงินส่วนตัวใช้รณรงค์หาเสียง ซึ่งมียอดของเม็ดเงินมากกว่าคู่แข่งถึง 5 ต่อ 1 เลยทีเดียว!!! ไมค์ บลูมเบอร์ก ไม่เพียงจะประสบความสำเร็จทางด้านธุรกิจและการเมืองแต่เพียงเท่านั้น แต่เขายังมีจิตกุศลบริจาคเงินให้กับมูลนิธิต่างๆมาแล้วอย่างมากมายทั่วทั้งประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ด้านสาธารณะสุข การศึกษา อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ด้านการสนับสนุนโครงการค้นคว้าวิจัยต่างๆอย่างมากมาย แถมเขายังให้การสนับสนุนโครงการต่างๆแก่มหาวิทยาลัยที่เขาสำเร็จการศึกษาเรียนจบมาอีกด้วย อย่างไรก็ตามไมค์ บลูมเบอร์กได้ส่งสัญญาณว่า จะก้าวขามาท้าประลองแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดี และถึงแม้ว่าเขาจะกล่าวออกมาเพียงลอยๆหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่เขาก็เพิ่งจะประกาศลงแข่งขันอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2019 โดยเขาออกมากล่าวอย่างแข็งกร้าวว่า “ยินดีทุ่มเม็ดเงินหนึ่งพันล้านเหรียญหากมีความจำเป็น เพราะต้องการที่จะกำจัดนักเลงอันธพาลคนหนึ่งที่กำลังบูลลี่อยู่ในทำเนียบขาว (There is a bully in the White House)” เขาหมายถึง “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”นั่นเอง ทั้งนี้มหาเศรษฐีไมค์ บลูมเบอร์ก ได้ตั้งปณิธานเอาไว้ว่า “ข้าพเจ้าจะเอาชนะประธานาธิบดีทรัมป์ให้จงได้ เพราะข้าพเจ้าต้องการจะปฏิรูปสหรัฐฯใหม่” โดยเขาได้เสนอในการแก้ปัญหาให้แก่สหรัฐฯ โดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ทำงานด้วยปาก แบบดีแต่พูด พร้อมแล้วที่จะลงมือทำ และจะสร้างผลงานให้กลายเป็นเครื่องพิสูจน์” ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมานี้ ไมค์ บลูมเบอร์ก ได้ทุ่มเม็ดเงินไปแล้วกว่าสี่ร้อยล้านเหรียญใช้ไปในการโฆษณาตามสื่อต่างๆ เปิดสำนักงานรณรงค์หาเสียงทั่วประเทศที่มีจำนวนของพนักงานกว่าสองพันคน และตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมาเขายังได้ทุ่มทุนโฆษณาลงในเฟซบุ๊กด้วยยอดเงินถึงสี่สิบล้านเหรียญสูงมากกว่าประธานาธิบดีทรัมป์หลายเท่าตัวอีกด้วย!!! และเนื่องจากไมค์ บลูมเบอร์ก เป็นนักการเมืองของพรรคเดโมแครตที่ตัดสินใจก้าวลงแข่งขันคนสุดท้าย จึงถือได้ว่าเขาคงจะเข้าลงแข่งขันด้วยเม็ดเงินในกระเป๋าของเขาเอง เพราะว่านักการเมืองในค่ายพรรคเดโมแครตหลายๆคนได้ประกาศลงแข่งขันมาแล้วตั้งแต่เริ่มต้น และพวกเขาก็ใช้การหาเสียงตามประเพณีเดิมๆ โดยหวังหาเงินบริจาคเพื่อนำไปใช้ในการหาเสียง แต่ดูเหมือนว่าขณะนี้ ไมค์ บลูมเบอร์ก มาแบบเซียนเหนือเมฆใช้ทางลัด โดยเขาเฟ้นหานักวางแผนมืออาชีพขั้นเทพเข้ามาวางกลยุทธ์ ซึ่งเขาผู้นั้นก็คือ “เดวิด พลอยฟ์” อดีตมันสมองวางเกมส์กลยุทธ์ทั้งปลุกทั้งปั้นให้ บารัก โอบามา ได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิกในรัฐอิลลินอยส์ และยังเป็นผู้จัดการหาเสียงจนโอบามาได้รับเลือกเขาไปรับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกด้วย!!! เท่ากับว่าไมค์ บลูมเบอร์กใช้เม็ดเงินสร้างพลังอำนาจในการหาเสียงอย่างที่คู่แข่งขันไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ โดยคะแนนนิยมของเขาล่าสุดพุ่งสูงขึ้นเกินความคาดหมาย โดยขณะนี้เขาได้รับความนิยมมาเป็นอันดับสองรองจากวุฒิสมาชิก เบอร์นี แซนเดอร์ส ซึ่งจะเป็นหนทางเปิดโอกาสให้เขาได้โต้วาทีกับนักการเมืองตัวเก็งคนอื่นๆด้วยในวันพุธที่เพิ่งผ่านมานี้ ที่ลาสเวกัส เนวาด้า อนึ่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ยังเหลือเวลาอีกเพียงแปดเดือนและขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้กลายเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันไปยืนรอคอยท่าอยู่แล้วนั้น พรรคเดโมแครตยังไม่ทราบเลยว่า ใครจะได้รับเลือกเข้าไปเป็นตัวแทนของพรรค ซึ่งอาจเป็นโอกาสดีของไมค์ บลูมเบอร์ก ที่จะฉกฉวยจังหวะเหมาะๆเข้าไปเติมเต็มช่องที่กำลังว่างอยู่ อนึ่งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์นี้ค่ายพรรคเดโมแครตจะมี “การแข่งขันขั้นต้น (Primaries)” ในสี่รัฐด้วยกัน คือรัฐไอโอวา รัฐนิวแฮมป์เชีย รัฐเนวาด้า และรัฐเซ้าท์แคโรไลนา โดย ไมค์ บลูกเบอร์ก ไม่สามารถจะลงแข่งขันได้เพราะคะแนนนิยมของเขายังไม่เข้าเกณฑ์ตามกฎของพรรคเดโมแครตกำหนดเอาไว้ แต่ในที่สุดไมค์ บลูมเบอร์กได้เพิ่มสูงขึ้นมาเป็นอันดับสอง ดังนั้นไมค์ บลูมเบอร์ก จึงมีโอกาสที่จะลงแข่งขันใน “ช่วงซุปเปอร์ทิวส์เดย์” Super Tuesday ในวันที่ 3 มีนาคมนี้ โดยจะมีการแข่งขันถึง 14 รัฐ ด้วยกันได้อชแก่ อลาบามา อาคันซอร์ แคลิฟอร์เนียร์ โคโลราโด เมน แมสซาชูเซตส์ มินนิโซต้า นอร์ทแคโลไรนา โอคลาโฮมา เทนเนสซี เท็กซัส ยูท่าห์ เวอร์มอนต์ และ เวอร์จิเนียร์ และในขณะที่นักการเมืองของค่ายพรรคเดโมแครตยังคงเหลืออยู่เพียงไม่กี่คน และต่างก็มีปัญหาทางด้านเม็ดเงิน ดังนั้นไมค์ บลูมเบอร์ก จึงมีความได้เปรียบเพราะขณะนี้เขาทุ่มเม็ดเงินไปแล้วถึง 130 ล้านเหรียญสำหรับการแข่งขันในวันที่ 3 มีนาคมนี้จนได้กลายเป็นที่ครหาจากเพื่อนๆนักการเมืองว่า “เขาใช้เงินซื้อตำแหน่งประธานาธิบดี” แต่ ไมค์ บลูมเบอร์ก ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์แก้ข้อกล่าวหาต่างๆว่า “การที่ข้าพเจ้าควักกระเป๋าทุ่มทุนมหาศาล มิได้หมายความว่าจะซื้อตำแหน่งประธานาธิบดีแต่อย่างใด ที่ข้าพเจ้าทำทุกอย่างเพียงเพราะต้องการที่จะเอาชนะประธานาธิบดีทรัมป์เท่านั้น” กล่าวโดยสรุปเนื่องจาก “ไมค์ บลูมเบอร์ก” มีทั้งประสบการณ์ มีทั้งเครือข่าย มีทั้งผู้สนับสนุนอย่างมากมาย มีแม้กระทั่งข้อมูลที่ครบครันอยู่ในความครอบครอง แต่ทั้งหมดทั้งมวลเหนือสิ่งใดเขามีเงินก้อนใหญ่มหึมามหาศาลพร้อมที่จะทุ่มทุน ฉะนั้นโอกาสที่เขาจะได้เผชิญหน้าประลองยุทธ์กับ “ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” จึงมีค่อนข้างสูง และหากโอกาสนั้นมาถึงจริงๆเท่ากับว่า จะเป็นงานใหญ่ระดับช้างชนช้างน่าสนุกและน่าติดตามไม่น้อยเลยละครับ