จากเหตุการณ์ทัวร์ตุ๋นลวงโลก นำมาสู่การจับกุม น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือ น.ส.ศรัณย์พัชร์ กิติขจรพัชร์ หรือซินแสโชกุน พร้อมพวก รวม 9 คน ได้ที่ จ.ระนอง เมื่อเย็นวันที่ 12 เม.ย. หลังหลอกลวงผู้เสียหายกว่า 1,000 คน เดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น โดยผู้เสียหายทั้งหมดเป็นสมาชิกของบริษัทเวลท์ เอเวอร์ จำกัด ที่มี ซินแสโชกุน เป็นผู้บริหาร ซึ่งแผนการตลาดบริษัทดังกล่าวใช้วิธีโฆษณารับสมัครสมาชิกด้วยเงินลงทุนหัวละ 9,730 บาท ได้โปรโมชั่นไปเที่ยวญี่ปุ่นฟรีช่วงระหว่างวันที่ 11-16 เม.ย. แต่ไม่สามารถไปได้จริง จนเกิดความโกลาหลวุ่นวายไปทั้งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 14 เมษายน นายนิติศักดิ์ มีขวด ทนายความซินแสโชกุนเปิดเผยว่าเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้ติดต่อเข้าเยี่ยมซินแสโชกุน เพื่อชี้แจงสิทธิตามขั้นตอนของกฎหมายและการฝากขังในวันนี้ พร้อมแจ้งว่าว่าขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการรวบรวมหลักทรัพย์เพื่อขอปล่อยชั่วคราว โดยคาดว่าจะยื่นต่อศาลหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งวันนี้หากศาลรับคำร้องฝากขังจะต้องถูกส่งตัวไปควบคุมที่เรือนจำก่อน เนื่องจากทรัพย์สินถูกเจ้าหน้าที่อายัดไปแล้วบางส่วนทำให้ทรัพย์สินที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ทั้งนี้ญาติของซินแสโชกุนก็ยังถูกควบคุมตัวตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ มทบ.11 ทำให้ยังติดต่อญาติไม่ได้ ประกอบกับรอผลสรุปของสำนวนคดีว่าจะมีการแจ้งข้อหาอื่นอีกหรือไม่ ซึ่งซินแสโชกุน ก็เข้าใจแต่มีความกังวลเล็กน้อยซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตามจากการพูดคุยกับซินแสโชกุนยังยืนยันว่าไม่มีเจตนาหลอก การจัดทัวร์เป็นการพาไปเที่ยวคล้ายกับโปรโมชั่นที่แถมให้สมาชิกและยินดีชดใช้เงินคืนให้กับผู้เสียหายทั้งหมดด้วย
ขณะที่ความเคลื่อนไหวที่กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) ช่วงเช้าที่ผ่านมานายอัครกิตติ์ ซิ้มเจริญ ประธานองค์การต่อต้านแชร์ลูกโซ่ นำกลุ่มตัวแทนผู้เสียหายและแม่ข่ายจำนวน 50-60 คน จากตัวแทนจำนวนผู้เสียหาย 333 คน ยอดความเสีย 6,299,936 บาท มาแจ้งความดำเนินคดีกับซินแสโชกุน โดยนายอัครกิตติ์ กล่าวว่า ได้นำผู้เสียหายมาแจ้งความเพื่อเรียกร้องคืนค่าเสียหาย ซึ่งการดำเนินธุรกิจแบบนี้เป็นธุรกิจอำพรางไม่ใช่ลักษณะของธุรกิจแชร์ลูกโซ่ หรือธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งพฤติกรรมมีการฉ้อโกงประชาชนทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศและธุรกิจขายตรงเกิดความเสียหาย ทั้งนี้ยังหลอกให้ประชาชนซื้อสินค้าพร้อมทั้งประชาสัมพันธ์เรื่องของการท่องเที่ยวมาจูงใจ โดยนำธุรกิจขายตรงมาบังหน้า เช่น มีการอ้างคำพูดว่า คนจ่ายเพียงคนละ 500 บาทเท่านั้นใครไปเที่ยวญี่ปุ่นได้ รับจำนวนจำกัดเพียงแค่ 40 ราย ซึ่งเป็นการเป็นการโปรโมทในช่วงแรกเพื่อดึงดูดให้เหยื่อให้สนใจ มีการโชว์ภาพว่าได้ไปเที่ยวจริง เพื่อให้ลูกค้าที่จะไปเที่ยวครั้งที่2 หลงเชื่ออย่างสนิทใจ อย่างไรก็ตามธุรกิจของ ซินแส โชกุน ไม่ได้มีการจดทะเบียนตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท อีกทั้งลูกค้าที่สั่งซื้อสินค้า ก็ไม่ได้รับสินค้าตามความที่กล่าวอ้าง ซึ่งแผนธุรกิจนั้น ทำแค่การโน้มน้าวใจ และประชาสัมพันธ์ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทั้งนี้ขอเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. คืนความสุขประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ด้วยการจัดการคดีให้เร็วที่สุด และคืนเงินมาให้ผู้เสียหายโดยเร็ว เพราะการกระทำของซินแสโชกุน เป็นการทำลายความสุขของประชาชน ดังนั้นวันนี้พวกเราจึงมาเรียกร้องสิทธิ์อันชอบธรรม
ด้านพล.ต.ต.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบก.ป.กล่าวว่า ตำรวจจะคุมตัว ซินแสโชกุนไปฝากขังผัดแรกที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก ในเวลา 10.00 น. ซึ่งขณะนี้ยังแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน เพียงข้อหาเดียว พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากมีผู้เสียหายจำนวนมากหากได้รับการปล่อยตัวไปเกรงว่าจะหลบหนี ประกอบกับซินแสโชกุน ยังถูกยังศาลแขวงพระนครเหนือออกหมายจับในชื่อเดิม คือน.ส.ภวิศ ภูริภัทร์เมฆินทร์ ซึ่งตรวจสอบพบว่าเป็นบุคคลเดียวกัน ในข้อหาฉ้อโกง กรณีหลอกลวงผู้เสียหายติดต่อนำบุตรอายุ 9 ปี ไปถ่ายแบบที่ประเทศญี่ปุ่น โดยเรียกเก็บค่าดำเนินการ 2.2แสนบาท แต่ไม่สามารถพาไปถ่ายแบบได้จริง พื้นที่สน.ห้วยขวางด้วย อย่างไรก็ตามซินแสโชกุน ยังยืนยันคำให้การเดิม แต่ตำรวจพิจารณาในส่วนพยานหลักฐานและพฤติการณ์ในคดีเป็นหลัก ส่วนผู้เสียหายที่ถูกลอยแพทัวร์ญี่ปุ่นขณะนี้เข้าแจ้งความแล้วรวม 314 คน และในวันนี้เจ้าหน้าที่จากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. จะเข้ามาที่กองปราบปรามเพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินและอายัดทรัพย์สินต่อไป
ต่อมาเวลา 10.20 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบได้ควบคุมตัว น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือ ซินแสโชกุน ออกจากห้องขังภายในกองบังคับการปราบปรามเพื่อไปขออำนาจศาลฝากขังผลัดแรก ที่ศาลอาญารัชดา โดยน.ส.พสิษฐ์ อยู่ในสภาพยิ้มแย้ม ไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมกันนี้แต่งกายด้วยเสื้อยืดโปโลสีขาว กางเกงสีฟ้า รองเท้าผ้าใบ และปฏิเสธที่ไม่ให้สัมภาษณ์หรือพูดคุยอะไรกับผู้สื่อข่าว ซึ่งระหว่างที่ตำรวจกองปราบปรามนำตัวซินแสโชกุนเดินไปขึ้นรถนั้น ได้มีผู้เสียหายกว่า 20 คน ที่ทราบข่าวว่าจะมีการนำตัวผู้ต้องหารายนี้ไปฝากขังได้มายืนตะโกนด่าทอด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ "เอาเงินกู คืนมา" พร้อมบางส่วนได้ถือป้ายมีใจความว่า"มันนี่เกมทำลายอาชีพทำลายชาติ" "เศรษฐกิจไม่ดีแต่จิตใจต้องดี" ปลุกพลังคนดีสู้คนเลว"